กระทู้เมื่อเร็วๆ นี้
กระดานสนทนาธรรม

ที่พักสงฆ์ป่าสามแยก บ้านห้วยยางทอง ต.วังกวาง อ.น้ำหนาว จ.เพชรบูรณ์ 67260


กระทู้เมื่อเร็วๆ นี้

หน้า: 1 2 3 [4] 5 6 ... 10
31

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 527
๑๔. วงศ์พระอัตถทัสสีพุทธเจ้าที่ ๑๔
ว่าด้วยพระประวัติของพระอัตถทัสสีพุทธเจ้า

[๑๕] ในมัณฑกัปนั้นนั่นเอง พระอัตถทัสสีพุทธเจ้า ผู้มีพระยศยิ่งใหญ่
ทรงกำจัดความมืดใหญ่บรรลุพระสัมโพธิญาณอันอุดม.
พระองค์อันท้าวมหาพรหมอาราธนาแล้ว
ทรงประกาศพระธรรมจักร
ทรงยังหมื่นโลกธาตุทั้งเทวโลกให้อิ่มด้วยอมตธรรม.
พระโลกนาถแม้พระองค์นั้น ก็ทรงมีอภิสมัย ๓ ครั้ง
อภิสมัยครั้งที่ ๑ ได้มีแก่ สัตว์แสนโกฏิ.
ครั้งพระอัตถทัสสีพุทธเจ้า เสด็จจาริกไปในเทวโลก
อภิสมัยครั้งที่ ๒ ได้มีแก่ สัตว์แสนโกฏิ.
ต่อจากนั้น ครั้งพระพุทธเจ้า ทรงแสดงธรรมโปรดในสำนักพระชนก
อภิสมัยครั้งที่ ๓ ได้มีแก่ สัตว์แสนโกฏิ.

พระอัตถทัสสีพุทธเจ้า ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่พระองค์นั้น
มีสันนิบาตประชุมพระสาวกขีณาสพ ผู้ไร้มลทิน มีจิตสงบ คงที่ ๓ ครั้ง.
พระสาวกเก้าหมื่นแปดพันประชุมกัน เป็นสันนิบาตครั้งที่ ๑
พระสาวกแปดหมื่นแปดพันประชุมกันเป็นสันนิบาตครั้งที่ ๒.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 528
พระสาวกผู้หลุดพ้นเพราะไม่ยึดมั่น ไร้มลทิน
ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่ เจ็ดหมื่นเจ็ดพันประชุมกัน เป็นสันนิบาตครั้งที่ ๓.

สมัยนั้น เราเป็นชฎิลผู้มีตบะสูง โดยชื่อสุสีมะ
อันแผ่นดินคือโลก สมมติว่าเป็นผู้ประเสริฐ.

เรานำดอกไม้ทิพย์คือ มณฑารพ ปทุม และปาริฉัตตกะ มาจากเทวโลก บูชาพระสัมพุทธเจ้า.
พระมหามุนีอัตถทัสสีพุทธเจ้าแม้พระองค์นั้น
ทรงพยากรณ์เราว่า ล่วงไป ๑,๘๐๐ กัป ท่านผู้นี้จักเป็นพระพุทธเจ้า.
พระตถาคต ออกอภิเนษกรมณ์จากกรุงกบิลพัสดุ์
ทรงตั้งความเพียร ทำทุกกรกิริยา.
พระตถาคตประทับนั่ง ณ โคนต้นอชปาลนิโครธ
ทรงรับข้าวมธุปายาสในที่นั้น เสด็จไปยังแม่น้ำเนรัญชรา.
พระชินเจ้าพระองค์นั้น เสวยข้าวมธุปายาสที่ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา เสด็จดำเนินตามทางอันดีที่เขาจัด
แต่งไว้แล้ว ไปที่โคนโพธิพฤกษ์.
แต่นั้น พระผู้มีพระยศยิ่งใหญ่
ทรงทำประทักษิณโพธิมัณฑสถานอันยอดเยี่ยม ตรัสรู้ ณ โคนโพธิพฤกษ์ชื่อ ต้นอัสสัตถะ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 529
ท่านผู้นี้ จักมีพระชนนีพระนามว่า พระนางมายา
พระชนกพระนามว่า พระเจ้าสุทโธทนะ
ท่านผู้นี้จักเป็นพระโคตมะ.
พระอัครสาวกชื่อว่าพระโกลิตะ และพระอุปติสสะ
ผู้ไม่มีอาสวะ ปราศจากราคะ มีจิตสงบ ตั้งมั่น
พระพุทธอุปัฏฐาก ชื่อว่าพระอานันทะจักบำรุงพระชินเจ้าผู้นี้.
พระอัครสาวิกา ชื่อว่า พระเขมา และ พระอุบลวรรณา
ผู้ไม่มีอาสวะ ปราศจากราคะ มีจิตสงบ
ตั้งมั่น โพธิพฤกษ์ของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นเรียกว่า ต้นอัสสัตถะ.
อัครอุปัฏฐาก ชื่อว่าจิตตะ และหัตถะอาฬวกะ
อัครอุปัฏฐายิกา ชื่อว่านันทมาตา และ อุตตรา
พระโคดมพุทธเจ้า ผู้มีพระยศ มีพระชนมายุ ๑๐๐ ปี.

มนุษย์และเทวดาทั้งหลาย
ฟังพระดำรัสนี้ของพระอัตถทัสสีพุทธเจ้า ผู้ไม่มีผู้เสมอ ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่
ก็ปลาบปลื้มใจว่า ท่านผู้นี้เป็นหน่อพุทธางกูร.
หมื่นโลกธาตุ พร้อมทั้งเทวโลก พากันโห่ร้อง
ปรบมือ หัวร่อร่าเริง ประคองอัญชลีนมัสการ กล่าวว่า
ผิว่า พวกเราพลาดพระศาสนาของพระโลกนาถ
พระองค์นี้ไซร้ ในอนาคตกาล พวกเราก็จักอยู่ต่อหน้าของท่านผู้นี้.
มนุษย์ทั้งหลาย เมื่อจะข้ามแม่น้ำ พลาดท่าน้ำ
ข้างหน้า ก็จะถือเอาท่าน้ำข้างหลัง ข้ามแม่น้ำใหญ่ฉันใด.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 530
พวกเราทั้งหมด ผิว่า ผ่านพ้นพระชินพุทธเจ้า
พระองค์นี้ไซร้ ในอนาคตกาลพวกเราก็จักอยู่ต่อหน้าของท่านผู้นี้ ฉันนั้นเหมือนกัน.
เราฟังพระดำรัสของพระองค์ ก็ยินดีสลดใจ
 จึงอธิษฐานข้อวัตรยิ่งยวดขึ้นไป เพื่อบำเพ็ญบารมี ๑๐ ให้บริบูรณ์.

พระอัตถทัสสีพุทธเจ้า ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่
มีพระนครชื่อ โสภณะ
พระชนกพระนานว่า พระเจ้าสาคระ
พระชนนีพระนามว่า พระนางสุทัสสนา.
พระองค์ครองฆราวาสวิสัยอยู่หมื่นปี
มีปราสาทชั้นยอด ๓ หลังชื่อว่า อมรคิรี สุรคิรี และคิริวาหนะ
มีพระสนมนารีแต่งกายงามสามหมื่นสามพันนาง
มีพระอัครมเหสีพระนามว่า พระนางวิสาขา
พระโอรสพระนามว่า เสละ.
พระชินพุทธเจ้า ทรงเห็นนิมิต ๔ เสด็จออกอภิเนษกรมณ์ด้วยยาน คือ ม้า
ทรงตั้งความเพียร ๘ เดือนถ้วน.

พระมหาวีระอัตถทัสสี ผู้มีพระยศยิ่งใหญ่
ผู้องอาจในนรชน อันท้าวมหาพรหมอาราธนาแล้ว
ทรงประกาศพระธรรมจักร ที่อโนมราชอุทยาน.

พระอัตถทัสสีพุทธเจ้า ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่
มีพระอัครสาวก ชื่อว่า พระสันตะ และพระอุปสันตะ
พระพุทธอุปัฏฐากชื่อว่า พระอภยะ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 531
พระอัครสาวิกา ชื่อว่าพระธัมมา และ พระสุธัมมา
โพธิพฤกษ์ของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น เรียกว่า ต้นจัมปกะ.
อัครอุปัฏฐาก ชื่อว่า นกุละ และ นิสภะ
อัครอุปัฏฐายิถา ชื่อว่า มกิลา และ สุนันทา.
พระพุทธเจ้าผู้เสมอด้วย พระพุทธเจ้า ผู้ไม่มีผู้เสมอพระองค์นั้น สูง ๘๐ ศอก
งามเหมือนพญาสาลพฤกษ์ บริบูรณ์เหมือนดวงจันทร์.
พระรัศมีตามปกติของพระองค์ หลายร้อยโกฏิ
แผ่ไปโยชน์หนึ่งทั้งสิบทิศ ทั้งเบื้องบน เบื้องล่างทุกเมื่อ.
พระพุทธเจ้า ผู้ล้ำเลิศในนรชน เป็นมุนี ยอดสรรพสัตว์ ผู้มีจักษุ ทรงดำรงอยู่ในโลกแสนปี.

พระอัตถทัสสีพุทธเจ้า แม้พระองค์นั้น
ทรงแสดงพระรัศมี อันหาอะไรเปรียบมิได้ เจิดจ้าไปในโลกทั้งเทวโลก
ถึงความเป็นผู้ไม่เที่ยง ก็เสด็จดับขันธปรินิพพาน
เพราะสินอุปาทาน เหมือนดวงไฟดับเพราะสิ้นเชื้อฉะนั้น.
พระชินวรอัตถทัสสีพุทธเจ้า ดับขันธปรินิพพาน ณ พระวิหารชื่อ อโนมาราม.
พระบรมสารีริกธาตุ ก็แผ่กระจายไปเป็นส่วนๆ ในประเทศนั้นๆ.
จบวงศ์พระอัตถทัสสีพุทธเจ้าที่ ๑๔
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 532

[/b][/color]พรรณนาวงศ์พระอัตถทัสสีพุทธเจ้าที่ ๑๔
เมื่อพระปิยทัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว
พระศาสนาของพระองค์ก็อันตรธานแล้วเสื่อมไป
เมื่อมนุษย์ทั้งหลาย มีอายุนับประมาณมิได้เจริญแล้ว ก็เสื่อมลงโดยลำดับ จนมีอายุแสนปี

พระพุทธเจ้าพระนามว่า อัตถทัสสี
ผู้เห็นอรรถอย่างยิ่ง ก็อุบัติขึ้นในโลก.
พระองค์ทรงบำเพ็ญบารมีบังเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต
จุติจากนั้นแล้วถือปฏิสนธิในพระครรภ์ของพระนางสุทัสสนเทวี
อัครมเหสีในราชสกุลของ พระเจ้าสาคระ กรุงโสภณะที่งามอย่างยิ่ง
อยู่ในพระครรภ์ ๑๐ เดือน ประสูติจากพระครรภ์พระชนนี ณ สุจินธนราชอุทยาน.
พอพระมหาบุรุษประสูติจากพระครรภ์พระชนนี
เจ้าของทรัพย์ทั้งหลาย ก็พากันได้ขุมทรัพย์ใหญ่ ที่ฝังกันไว้นาน สืบๆ ตระกูลกันมา
เพราะเหตุนั้น ในวันรับพระนามของพระองค์
พระชนกชนนีจึงเฉลิมพระนามว่า อัตถทัสสี
พระองค์ทรงครองฆราวาสวิสัยอยู่หมื่นปี.

ทรงมีปราสาท ๓ หลังที่มีกลิ่นหอมอย่างยิ่ง ชื่อ อมรคิรี สุรคิรี และคิริวาหนะ
มีพระสนมนารีสามหมื่นสามพันนาง มีพระนางวิสาขาเทวีเป็นประมุข.
เมื่อพระโอรสพระนามว่า เสลกุมาร ของ พระนางวิสาขาเทวี
ทรงสมภพ พระองค์ก็ทรงเห็นนิมิต ๔ ขึ้นทรงพญาม้าชื่อ สุทัสสนะ
เสด็จออกมหาอภิเนษกรมณ์ทรงผนวช มนุษย์เก้าโกฏิก็บวชตามเสด็จ
พระมหาบุรุษอันบรรพชิตเหล่านั้นแวดล้อมแล้ว
ทรงบำเพ็ญเพียร ๘ เดือน

ในวันวิสาขบูรณมี เสวยข้าวมธุปายาสที่มหาชนนำมาเป็นเครื่องสังเวยนางนาคชื่อว่า สุจินธรา
นางนาคที่มีเรือนร่างทุกส่วนอันมหาชนเห็นอยู่ ถวายพร้อมด้วยถาดทอง
ทรงยับยั้งพักกลางวัน ณ สวนสาละรุ่น ที่ประดับด้วยต้นไม้รุ่น ๑๐ ต้น เวลาเย็น
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 533
ทรงรับหญ้าคา ๘ กำ ที่พญานาคชื่อ มหารุจิ ผู้ชอบใจธรรมถวาย แล้ว
เสด็จเข้าไปยังโพธิพฤกษ์ชื่อ จัมปกะ ต้นจำปา
ทรงลาดสันถัตหญ้าคากว้างยาว ๕๓ ศอก ประทับนั่งขัดสมาธิ
ทรงบรรลุพระสัมโพธิญาณ ทรงเปล่งพระอุทานว่า
อเนกชาติสํสารํ ฯ ล ฯ ตณฺหานํ ขยมชฺฌคา ที่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์
ทรงประพฤติมา ทรงยับยั้งอยู่ ณ ที่ใกล้โพธิพฤกษ์ ๗ วัน
ทรงรับอาราธนาแสดงธรรมของท้าวมหาพรหม
ทรงเห็นภิกษุใหม่เก้าโกฏิที่บวชกับพระองค์เป็นผู้สามารถแทงตลอดอริยธรรมได้
เสด็จไปทางอากาศลงที่อโนมราชอุทยานใกล้อโนมนคร อันภิกษุเหล่านั้นแวดล้อมแล้ว
ทรงประกาศพระธรรมจักร ณ ที่นั้น
ครั้งนั้น ธรรมาภิสมัยครั้งที่ ๑ ได้มีแก่ สัตว์แสนโกฏิ.
ต่อมาอีก
เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้นำโลกเสด็จจาริกไปในเทวโลก
ทรงแสดงธรรมโปรดในที่นั้น อภิสมัยครั้งที่ ๒ ได้มีแก่ สัตว์แสนโกฏิ
ก็ครั้งพระผู้มีพระภาคเจ้าอัตถทัสสี เสด็จเข้าไปยังกรุงโสภณะ เหมือนพระผู้มีพระภาค
เจ้าของเราเสด็จไปยังกรุงกบิลพัสดุ์ ทรงแสดงธรรมโปรด ธรรมาภิสมัย
ครั้งที่ ๓ ก็ได้มีแก่ สัตว์แสนโกฏิ
ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
ในมัณฑกัปนั้นนั่นเอง พระอัตถทัสสีพุทธเจ้า
ผู้มีพระยศยิ่งใหญ่ ก็ทรงกำจัดความมืดใหญ่ บรรลุพระโพธิญาณอันอุดม.
พระองค์ อันท้าวมหาพรหมอาราธนาแล้ว
ทรงประกาศพระธรรมจักร ทรงยังหมื่นโลกธาตุ พร้อมทั้งเทวโลกให้อิ่มด้วยอมฤตธรรม.
พระโลกนาถแม้พระองค์นั้น ก็ทรงมีอภิสมัย ๓ ครั้ง อภิสมัยครั้งที่ ๑ ได้มีแก่ สัตว์แสนโกฏิ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 534
ครั้งพระอัตถทัสสีพุทธเจ้า
เสด็จจาริกไปในเทวโลก อภิสมัยครั้งที่ ๒ ได้มีแก่ สัตว์แสนโกฏิ.
ต่อมา
ครั้งพระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม
ในสำนักพระชนก อภิสมัยครั้งที่ ๓ ได้มีแก่ สัตว์แสนโกฏิ.
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น
บทว่า ตตฺเถว ความว่า ในกัปนั้นนั่นเอง

แต่ในที่นี้ วรกัปท่านประสงค์เอาว่ามัณฑกัป ข้าพเจ้ากล่าวไว้ในหนหลัง
ในการพรรณนาวงศ์ของพระปทุมุตตรพุทธเจ้าว่า
ในกัปใด บังเกิดพระพุทธเจ้า ๓ พระองค์ กัปนั้นชื่อว่า วรกัป
เพราะฉะนั้นในที่นี้ วรกัป ท่านจึงประสงค์เอาว่า มัณฑกัป.
บทว่า นิหนฺตฺวาน แปลว่า กำจัดแล้ว หรือปาฐะก็อย่างนี้เหมือนกัน.
บทว่า สนฺโต แปลว่า มีอยู่.
บทว่า อมเตน ได้แก่ ด้วยดื่มอมฤตธรรมคือการบรรลุมรรคผล.
บทว่า ตปฺปยิ แปลว่า ให้อิ่มแล้ว อธิบายว่าให้อิ่มหนำสำราญ.
บทว่า ทสสหสฺสี ก็คือ ทสสหสฺสิโลกธาตุํ.
บทว่า เทวจาริกํ ความว่า จาริกไปในเทวโลก เพื่อแนะนำเทวดาทั้งหลาย

ได้ยินว่า
ในสุจันทกนคร พระสันตราชโอรสและอุปสันตะบุตรปุโรหิต
ไม่เห็นสาระในไตรเพทและลัทธิสมัยอื่นทุกอย่าง จึงวางคนที่รอบรู้และแกล้ว
กล้าไว้ ๔ คน ที่ประตูทั้ง ๔ ของพระนคร
โดยสั่งว่า พวกท่านเห็นหรือได้ยินสมณะหรือพราหมณ์ที่เป็นบัณฑิตผู้ใด
พวกท่านจงมาบอกเรา
สมัยนั้น
พระโลกนาถอัตถทัสสี เสด็จถึง สุจันทกนคร.
ลำดับนั้น พวกบุรุษที่คนเหล่านั้นบอกแล้ว
ก็พากันไปแจ้งการเสด็จมาในที่นั้นของพระทศพลแก่สองท่านนั้น
แต่นั้นพระสันตราชโอรสและอุปสันตะบุตรปุโรหิต ฟังข่าวการเสด็จมาของพระตถาคต ก็มีใจร่าเริง
มีบริวารพันหนึ่งไปรับเสด็จพระทศพลผู้ไม่มีผู้เสมอ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 535
ถวายบังคมแล้วนิมนต์ ถวายมหาทานที่ไม่มีใครเทียม แด่พระสงฆ์มีพระพุทธ
เจ้าเป็นประธาน วันที่ ๗ ก็ฟังธรรมกถาพร้อมด้วยผู้คนชาวนครทั้งสิ้น เขาว่า
วันนั้น บุรุษเก้าหมื่นแปดแสน
พากันบวชด้วยเอหิภิกขุบรรพชาแล้วบรรลุพระอรหัต
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงยกปาติโมกข์ขึ้นแสดงท่ามกลางบริษัทนั้น นั้นเป็นสันนิบาต ครั้งที่ ๑.
ครั้งพระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อทรงแสดงธรรมแก่พระเสลเถระ โอรสของพระองค์
ทรงยังบุรุษแปดหมื่นแปดพันให้เลื่อมใสแล้ว ให้บวชด้วยเอหิภิกขุภาวะให้เขาบรรลุพระอรหัตแล้ว
ทรงยกปาติโมกข์ขึ้นแสดง นั้นเป็นสันนิบาตครั้งที่ ๒.
ต่อมาอีก
เมื่อทรงแสดงธรรมแก่เทวดาและมนุษย์วันมาฆบูรณมีในมหามงคลสมาคม
ทรงยังสัตว์เจ็ดหมื่นแปดพันให้บรรลุพระอรหัต
ทรงยกปาติโมกข์ขึ้นแสดง นั้นเป็นสันนิบาตครั้งที่ ๓.
ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
พระอัตถทัสสีพุทธเจ้า ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่ พระองค์นั้น
ทรงมีสันนิบาตประชุมพระสาวกขีณาสพ ผู้ไร้มลทิน มีจิตสงบคงที่ ๓ ครั้ง.
พระสาวกเก้าหมื่นแปดพันประชุมกัน เป็นสันนิบาตครั้งที่ ๑
พระสาวกแปดหมื่นแปดพันประชุมกัน เป็นสันนิบาตครั้งที่ ๒.
พระสาวกขีณาสพ ผู้หลุดพ้นเพราะไม่ยึดมั่น ผู้ไร้มลทิน
ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่เจ็ดหมื่นเจ็ดพันประชุมกัน เป็นสันนิบาตครั้งที่ ๓.
ได้ยินว่า ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์ของเรา
อันโลกสมมติว่าเป็นพราหมณ์มหาศาล ชื่อสุสิมะ
ในนครจัมปกะ พระโพธิสัตว์นั้นสละสมบัติทุก
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 536
อย่าง แก่คนจน คนอนาถา คนกำพร้า คนเดินทางไกลเป็นต้น ไปใกล้ป่า
หิมพานต์ บวชเป็นดาบส ยังสมาบัติ ๘ และอภิญญา ๕ ให้เกิดแล้ว เป็นผู้
มีฤทธานุภาพมาก แสดงความไม่มีโทษและความมีโทษ แห่งกุศลธรรมและ
อกุศลธรรมทั้งหลายแก่มหาชน รอคอยการอุบัติแห่งพระพุทธเจ้า.
สมัยต่อมา
เมื่อพระอัตถทัสสีพุทธเจ้า ผู้นำโลกทรงอุบัติในโลกแล้ว
ทรงยังฝนคืออมฤตธรรมให้ตกลงในท่ามกลางบริษัท ๘ ณ กรุงสุทัสสนมหานคร
พระโพธิสัตว์ฟังธรรมของพระองค์แล้ว ก็ไปสู่โลกสวรรค์ แล้วนำเอา
ดอกไม้ทิพย์ มีมณฑารพ ปทุม ปาริฉัตตกะ เป็นต้น มาจากเทวโลก
เมื่อจะสำแดงอานุภาพของตน จึงปรากฏตัว ยังฝนดอกไม้ให้ตกลงในทิศทั้ง ๔
เหมือนมหาเมฆตกใน ๔ ทวีป แล้วสร้างสิ่งที่สำเร็จด้วยดอกไม้มีที่บูชา เสาระเนียด
ข่ายทองที่สำเร็จด้วยดอกไม้เป็นต้น เป็นมณฑปดอกไม้โดยรอบ
บูชาพระทศพลด้วยฉัตรดอกมณฑารพ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ก็ทรง
พยากรณ์พระโพธิสัตว์นั้นว่า ในอนาคตกาล จักเป็นพระพุทธเจ้าพระนามว่าโคตมะ.
ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
สมัยนั้น เราเป็นชฎิลมีตบะสูง โดยชื่อว่าสุสีมะ
อันแผ่นดินคือโลกสมมติว่า เป็นผู้ประเสริฐ.
เรานำดอกไม้ทิพย์ คือ มณฑารพ ปทุม
ปาริฉัตตกะ จากเทวโลก บูชาพระสัมพุทธเจ้า.
พระอัตถทัสสีพุทธเจ้า มหามุนีพระองค์นั้นทรง
พยากรณ์เราว่า ล่วงไป ๑,๘๐๐ กัป ท่านผู้นี้จักเป็นพระพุทธเจ้า.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 537
พระตถาคตทรงตั้งความเพียร ฯ ล ฯ จักอยู่ต่อหน้าของท่านผู้นี้.
เราฟังพระดำรัสของพระองค์ ก็ร่าเริง สลดใจ
จึงอธิษฐานข้อวัตรยิ่งขึ้นไป เพื่อบำเพ็ญบารมี ๑๐ ให้บริบูรณ์.
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น
บทว่า ชฏิโล ได้แก่ ชื่อว่าชฎิล เพราะมีชฎามุ่นมวยผม.
บทว่า มหิยา เสฏฺฐสมฺมโต ความว่า
อันโลกแม้ทั้งสิ้นสมมติยกย่องอย่างนี้ว่า เป็นผู้ประเสริฐสุด สูงสุด เลิศ.

พระผู้มีพระภาคเจ้าอัตถทัสสี พระองค์นั้น
ทรงมีพระนคร ชื่อว่า โสภณะ
พระชนกพระนามว่า พระเจ้าสาคระ
พระชนนีพระนามว่า พระนางสุทัสสนา
คู่พระอัครสาวกชื่อว่า พระสันตะ และ พระอุปสันตะ
พระพุทธอุปัฏฐากชื่อว่า พระอภยะ
คู่พระอัครสาวิกา ชื่อว่า พระธัมมา และพระสุธัมมา
โพธิพฤกษ์ชื่อว่า จัมปกะ
พระสรีระสูง ๘๐ ศอก
พระรัศมีแห่งพระสรีระแผ่ไปโดยรอบ ประมาณโยชน์หนึ่งทุกเวลา
พระชนมายุแสนปี

พระอัครมเหสีพระนามว่า พระนางวิสาขา
พระโอรสพระนามว่า เสละ
ออกอภิเนษกรมณ์ด้วยยานคือ ม้า.

ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
พระอัตถทัสสีศาสดา
ทรงมีพระนครชื่อว่าโสภณะ
พระชนกพระนามว่า พระเจ้าสาคระ
พระชนนีพระนามว่า พระนางสุทัสสนา.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 538

พระอัตถทัสสีศาสดา
มีพระอัครสาวกชื่อว่า พระสันตะ และ พระอุปสันตะ
พระพุทธอุปัฏฐากชื่อว่า พระอภยะ.
พระอัครสาวิกาชื่อว่าพระธัมมา และพระสุธัมมา
โพธิพฤกษ์ของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น เรียกว่า จัมปกะ.
พระพุทธเจ้าพระองค์นั้น เสมอด้วยพระพุทธเจ้า
ผู้ไม่มีผู้เสมอ สูง ๘๐ ศอก งามเหมือนพญาสาลพฤกษ์เต็มบริบูรณ์เหมือนพระจันทร์.
พระรัศมีตามปกติของพระองค์ มีหลายร้อยโกฏิ
แผ่ไปโยชน์หนึ่ง สิบทิศทั้งเบื้องสูงเบื้องต่ำทุกเมื่อ.
พระพุทธเจ้าเป็นผู้องอาจในนรชน เป็นมุนียอดแห่งสรรพสัตว์
ผู้มีพระจักษุพระองค์นั้น ทรงดำรงอยู่ในโลกแสนปี.

พระอัตถทัสสีพุทธเจ้า แม้พระองค์นั้น
ทรงแสดงพระรัศมีที่ไม่มีอะไรเทียบ เจิดจ้าไปในโลกทั้งเทวโลก
ทรงถึงความเป็นผู้ไม่เที่ยงแท้ ดับขันธปรินิพพาน
เพราะสิ้นอุปาทาน เหมือนดวงไฟดับ เพราะสิ้นเชื้อฉะนั้น.
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น
บทว่า อุฬุราชาว ปูริโต ความว่า เหมือนดวงจันทร์ราชาแห่งดวงดาว
บริบูรณ์ไร้มลทินทั่วมณฑลในฤดูสารท.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 539
บทว่า ปากติกา ความว่า เกิดขึ้นตามปกติ ไม่ใช่ตามอธิษฐาน
เมื่อใด พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประสงค์
เมื่อนั้น ก็ทรงแผ่พระรัศมีไปในจักรวาลแม้หลายแสนโกฏิ.
บทว่า รํสี แปลว่า พระรัศมีทั้งหลาย.
บทว่า อุปาทานสงฺขยา ได้แก่ เพราะสิ้นอุปาทาน.
พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น เสด็จดับขันธปรินิพพาน
ด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ เพราะสิ้นอุปาทาน ๔ เหมือนไฟดับเพราะสิ้นเชื้อ
พระธาตุทั้งหลายของพระองค์ เรี่ยรายไปด้วยพระอธิษฐาน.
คำที่เหลือในคาถาทั้งหลายทุกแห่งง่ายทั้งนั้นแล.
จบพรรณนาวงศ์พระอัตถทัสสีพุทธเจ้า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 540


32
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 509

๑๓. วงศ์พระปิยทัสสีพุทธเจ้าที่ ๑๓
ว่าด้วยพระประวัติของพระปิยทัสสีพุทธเจ้า

[๑๔] ต่อจากสมัยของพระสุชาตพุทธเจ้า
ก็มีพระสยัมภูพุทธเจ้าพระนามว่า ปิยทัสสี ผู้มีพระยศใหญ่ ผู้นำโลก
ผู้ที่เข้าเฝ้าได้ยาก ผู้เสมอด้วยพระพุทธเจ้าผู้ไม่มีผู้เสมอ.
พระพุทธเจ้า ผู้มีบริวารยศหาประมาณมิได้
แม้พระองค์นั้น รุ่งโรจน์ดังดวงอาทิตย์
ทรงกำจัดความมืดทุกอย่างแล้ว ทรงประกาศพระธรรมจักร.

พระปิยทัสสีพุทธเจ้า ผู้มีพระเดชอันชั่งมิได้
แม้พระองค์นั้น ก็มีอภิสมัย ๓ ครั้ง
อภิสมัยครั้งที่ ๑ ได้มีแก่ สัตว์แสนโกฏิ.
ท้าวสุทัสสนเทวราช ชอบใจมิจฉาทิฏฐิ
พระศาสดาเมื่อทรงบรรเทาทัฏฐิของท้าวเธอ ก็ได้แสดงธรรมโปรด.
ครั้งนั้น การประชุมของชนนับไม่ได้
ก็เป็นมหาสันนิบาต อภิสมัยครั้งที่ ๒ ก็ได้มีแก่สัตว์เก้าหมื่นโกฏิ.
ครั้ง พระผู้เป็นสารภีฝึกคน
ทรงฝึกพระยาช้างโทณมุขะ อภิสมัยครั้งที่ ๓ ได้มีแก่สัตว์แปดหมื่นโกฏิ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 510

พระปิยทัสสีพระพุทธเจ้า แม้พระองค์นั้น
ก็ทรงมีสันนิบาตประชุมพระสาวก ๓ ครั้ง
พระสาวกแสนโกฏิประชุมกัน เป็นสันนิบาตครั้งที่ ๑.
พระมุนี พระสาวกเก้าหมื่นโกฏิ
ประชุมพร้อมกัน เป็นสันนิบาตครั้งที่ ๒
พระสาวกแปดหมื่นโกฏิประชุมกัน เป็นสันนิบาตครั้งที่ ๓.

สมัยนั้น
เราเป็นมาณพพราหมณ์ชื่อว่า กัสสปะ คงแก่เรียน ทรงมนต์ จบไตรเพท.
เราฟังธรรมของพระองค์ เกิดความเลื่อมใส ได้สร้างสังฆาราม ด้วยทรัพย์แสนโกฏิ.
เราถวายอารามแด่พระองค์แล้ว ก็ร่าเริงสลดใจยึดสรณะและศีล ๕ ไว้มั่น.

พระพุทธเจ้าแม้พระองค์นั้น ประทับนั่งท่ามกลางสงฆ์
ทรงพยากรณ์เราว่า ล่วงไป ๑,๘๐๐ กัป
ท่านผู้นี้จักเป็นพระพุทธเจ้า.
พระตถาคตเสด็จออกอภิเนษกรมณ์ จากกรุงกบิลพัสดุ์อันน่ารื่นรมย์
ทรงตั้งความเพียรทำทุกกรกิริยา.
พระตถาคตประทับ ณ โคนต้นอชปาลนิโครธ
ทรงรับข้าวมธุปายาส ณ ที่นั้นแล้ว เสด็จไปยังแม่น้ำเนรัญชรา.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 511

พระชินเจ้าพระองค์นั้น
เสวยข้าวมธุปายาสที่ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา
เสด็จดำเนินไปตามทางอันดีที่เขาจัดแต่งไว้ ไปที่โคนโพธิพฤกษ์.
แต่นั้น พระผู้มีพระยศทรงประทักษิณโพธิมัณฑสถานอันยอดเยี่ยม
ตรัสรู้ ณ โคนโพธิพฤกษ์ ชื่ออัสสัตถะ.
ท่านผู้นี้ จักมีพระชนนีพระนามว่า พระนางมายา
พระชนกพระนามว่า พระเจ้าสุทโธทนะ

ท่านผู้นี้จักมีพระนามว่า โคตมะ.
พระอัครสาวกชื่อว่าพระโกลิตะและพระอุปติสสะ
ผู้ไม่มีอาสวะ ปราศจากราคะ มีจิตสงบตั้งมั่น
พระพุทธอุปัฏฐาก ชื่อว่าพระอานันทะ จักบำรุงพระชินเจ้าพระองค์นี้.
พระอัครสาวิกา ชื่อว่า พระเขมา และ พระอุบลวรรณา
ผู้ไม่มีอาสวะ ปราศจากราคะ มีจิตสงบ ตั้งมั่น
โพธิพฤกษ์ของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น เรียกว่า ต้นอัสสัตถะ.
อัครอุปัฏฐาก ชื่อว่า จิตตะ และหัตถกะอาฬวกะ
อัครอุปัฏฐายิกา ชื่อว่า นันทมาตา และ อุตตรา.

พระโคดมพุทธเจ้า
ผู้มีพระยศ มีพระชนมายุ ๑๐๐ ปี.
มนุษย์และเทวดาทั้งหลาย ฟังพระดำรัสนี้ ของพระปิยทัสสีพุทธเจ้า ผู้ไม่มีผู้เสมอ
ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่ ก็ปลาบปลื้มใจว่า ท่านผู้นี้เป็นหน่อพุทธางกูร.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 512
หมื่นโลกธาตุทั้งเทวโลก ก็พากันโห่ร้อง ปรบมือ หัวร่อร่าเริง
ประคองอัญชลีนมัสการ กล่าวว่า ผิว่า
พวกเราจักพลาดศาสนา ของพระโลกนาถพระองค์นี้ไซร้
ในอนาคตกาล พวกเราก็จักอยู่ต่อหน้าของท่านผู้นี้.

มนุษย์ทั้งหลาย เมื่อจักข้ามแม่น้ำ พลาดท่าน้ำ
ข้างหน้า ก็ถือเอาท่าน้ำข้างหลังข้ามแม่น้ำใหญ่ ฉันใด.
พวกเราทุกคน ผิว่า ผ่านพ้นพระชินพุทธเจ้า
พระองค์นิไซร้ ในอนาคตกาล พวกเราก็จักอยู่ต่อหน้าของท่านผู้นี้ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน.
เราฟังพระดำรัสของพระองค์แล้ว ก็ยิ่งเลื่อมใส
จึงอธิษฐานข้อวัตรยิ่งยวดขึ้นไป เพื่อบำเพ็ญบารมี ๑๐ ให้บริบูรณ์.

พระปิยทัสสีศาสดา
มีพระนครชื่อว่า สุธัญญะ
พระชนกพระนามว่า พระเจ้าสุทัตตะ
พระชนนีพระนามว่า พระนางสุจันทา.

พระองค์ครองฆราวาสวิสัย อยู่เก้าพันปี
มีปราสาท ๓ หลังชื่อว่า สุนิมมละ วิมละ และคิริคูหา
มีพระสนมนารี ที่แต่งกายงามสามหมื่นหนึ่งพันนาง
พระอัครมเหสีพระนามว่า พระนางวิมลา
พระโอรสพระนามว่า กัญจนาเวฬะ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 513
พระผู้เป็นยอดบุรุษ ทรงเห็นนิมิต ๔
เสด็จออกอธิเนษกรมณ์ด้วยยานคือรถ
ทรงบำเพ็ญเพียร ๖ เดือน.

พระมหาวีระปิยทัสสีมหามุนี ผู้สงบ
อันท้าวมหาพรหมอาราธนาแล้ว ทรงประกาศพระธรรมจักร
ณ อุสภราชอุทยาน ที่น่ารื่นรมย์ใจ.

พระปิยทัสสีศาสดา
มีพระอัครสาวกชื่อว่าพระปาลิตะ และพระสีพพทัสสี
พระพุทธอุปัฏฐาก ชื่อว่า พระโสภิตะ.
พระอัครสาวิกา ชื่อว่า พระสุชาดาและพระธัมมทินนา
โพธิพฤกษ์ของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นเรียกว่า กกุธะ ต้นกุ่ม.
อัครอุปัฏฐากชื่อว่า สันทกะ และธัมมิกะ อัครอุปัฏฐายิกาชื่อว่า วิสาขาและธัมมทินนา.

พระพุทธเจ้า ผู้มีพระบริวารยศหาประมาณมิได้
มีพระมหาปุริสลักษณะ ๓๒ พระองค์นั้น สูง ๘๐ ศอก
เห็นกันชัดเหมือนพระยาสาลพฤกษ์.
รัศมีแสงของดวงไฟ ดวงจันทร์และดวงอาทิตย์
หามีเหมือนพระรัศมีของพระปิยทัสสี ผู้ไม่มีผู้เสมอผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่พระองค์นั้นไม่.

พระผู้มีพระจักษุ ดำรงอยู่ในโลกเก้าหมื่นปี
แม้พระองค์ผู้เป็นเทพแห่งเทพก็มีพระชนมายุเท่านั้น.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 514
พระพุทธเจ้า ผู้เสมอด้วยพระพุทธเจ้า ผู้ไม่มีผู้เสมอพระองค์นั้น ก็ดี
คู่พระสาวกที่ไม่มีผู้เปรียบได้เหล่านั้นก็ดี
ทั้งนั้นก็อันตรธานไปสิ้น สังขารทั้งปวงก็ว่างเปล่า แน่แท้.

พระปิยทัสสีวรมุนี เสด็จดับขันธปรินิพพาน ณ พระวิหารอัสสัตถาราม
ชินสถูปของพระองค์ ณ พระวิหารนั้น สูง ๓ โยชน์แล.
จบวงศ์พระปิยทัสสีพุทธเจ้าที่ ๑๓
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 515

พรรณนาวงศ์พระปิยทัสสีพุทธเจ้าที่ ๑๓
ต่อมาจากสมัยของพระสุชาตพุทธเจ้า ในกัปหนึ่ง ในที่สุดแห่งหนึ่งพัน
แปดร้อยกัปแต่ภัทรกัปนี้ พระพุทธเจ้าบังเกิด ๓ พระองค์ คือ
พระปิยทัสสี
พระอัตถทัสสี
พระธัมมทัสสี

ใน ๓ พระองค์นั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้าปิยทัสสี
ทรงบำเพ็ญบารมีแล้วบังเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต
จุติจากนั้นแล้ว ก็ถือปฏิสนธิในพระครรภ์ของ พระนางจันทาเทวี ผู้มีพระพักตร์เสมือนดวงจันทร์
อัครมเหสีของพระเจ้าสุทัตตะ กรุงสุธัญญวดี
ถ้วนกำหนดทศมาส ก็ประสูติออกจากพระครรภ์ของพระชนนี ณ วรุณราชอุทยาน

ในวันเฉลิมพระนามของพระองค์พระชนกชนนี
ทรงเฉลิมพระนามว่า ปิยทัสสี
เพราะเห็นปาฏิหาริย์วิเศษอันเป็นที่รักของโลก
พระองค์ทรงครองฆราวาสวิสัยอยู่เก้าพันปี
นัยว่าทรงมีปราสาท ๓ หลังชื่อว่า สุนิมมละ วิมละ และ คิริพรหา
ปรากฏพระสนมนารีสามหมื่นสามพันนาง
มี พระนางวิมลามหาเทวี เป็นประมุข.

เมื่อพระโอรสพระนามว่า กัญจนเวฬะ ของพระนางวิมลาเทวีประสูติแล้ว
พระมหาบุรุษนั้น ทรงเห็นนิมิต ๔ แล้ว
เสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ด้วยรถเทียมม้า
ทรงผนวชแล้ว บุรุษโกฏิหนึ่งบวชตามเสด็จ
พระมหาบุรุษอันชนโกฏิหนึ่งนั้น แวดล้อมแล้วพระองค์นั้น

ทรงบำเพ็ญเพียร ๖ เดือน
ในวันวิสาขบูรณมี เสวยข้าวมธุปายาส ที่ธิดาของ วสภพราหมณ์
บ้านวรุณพราหมณ์ ถวายแล้วทรงยับยั้งพักกลางวัน ณ สาลวัน
ทรงรับหญ้า ๘ กำที่สุชาตะอาชีวก ถวายแล้ว
เสด็จเข้าไปยังโพธิพฤกษ์ชื่อว่า กกุธะ ต้นกุ่ม
ทรงลาดสันถัตหญ้ากว้าง ๕๓ ศอก
ประทับนั่งขัดสมาธิ แทงตลอดพระสัพพัญณุตญาณ
ทรงเปล่งพระอุทานว่า อเนกชาติสํสารํ เป็นต้นแล้ว
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 516
ทรงยับยั้ง ณ โคนโพธิพฤกษ์นั้นนั่นแหละ ๗ สัปดาห์
ทรงทราบว่า ผู้ที่บวชกับพระองค์ สามารถแทงตลอดอริยธรรม
จึงเสด็จไป ณ ที่นั้นทางอากาศ ลงที่ อุสภวดีราชอุทยาน
ใกล้ กรุงอุสกวดี อันภิกษุโกฏิหนึ่งแวดล้อมแล้ว

ทรงประกาศพระธรรมจักร
ครั้งนั้นธรรมาภิสมัยได้มีแก่ สัตว์แสนโกฏิ นี้เป็นอภิสมัยครั้งที่ ๑

ต่อมาอีก
ราชาแห่งเทพ พระนามว่า สุทัสสนะ
ประทับอยู่ ณ สุทัสสนบรรพต ไม่ไกลกรุงอุสภวดี
ท้าวเธอเป็นมิจฉาทิฏฐิ ก็พวกมนุษย์ทั่วชมพูทวีป
นำเครื่องสังเวยมีค่านับแสน มาเซ่นสรวงท้าวเธอ ท้าวสุทัสสนเทวราชนั้น
ประทับบนอาสนะเดียวกันกับพระราชาแห่งมนุษย์ ทรงรับเครื่องสังเวย

ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า ปิยทัสสี
ทรงพระดำริว่า จำเราจักบรรเทามิจฉาทิฏฐิของท้าวสุทัสสนเทวราชนั้นเสีย
เมื่อท้าวสุทัสสนเทวราชนั้นเสด็จไปยังสมาคมยักษ์
จึงเสด็จเข้าไปยังภพของท้าวเธอ ขึ้นสู่ที่สิริไสยาสน์ประทับนั่งเปล่งพระฉัพพรรณรังสี
เหมือนดวงอาทิตย์ในฤดูสาวทเปล่งแสงเหนือยุคนธรบรรพต
เทวดาที่เป็นบริวารรับใช้ของท้าวเธอ
ก็บูชาพระทศพลด้วยดอกไม้ของหอมและเครื่องลูบไล้เป็นต้น ยืนแวดล้อม.

ฝ่ายท้าวสุทัสสนเทวราช กลับจากยักขสมาคม
เห็นฉัพพรรณรังสีแล่นออกจากภพของตน
ก็คิดว่า ในวันอื่นๆ ไม่เคยเห็นภพของเรา จำเริญรุ่งเรื่องด้วยแสงรัศมีมากมายเช่นนี้
ใครหนอ เป็นเทวดาหรือมนุษย์ เข้าไปในที่นี้
ตรวจดูก็เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับนั่งรุ่งโรจน์ด้วยแสงพระฉัพพรรณรังสี
ดังดวงอาทิตย์ในฤดูสารทเหนือยอดอุทัยคิรี
คิดว่า สมณะโล้นผู้นี้ อันชนใกล้ชิดบริวารของเราแวดล้อมแล้วนั่งเหนือที่นอนอันดี
ก็ถูกความโกรธครอบงำใจคิดว่า เอาเถิด จำเราจักสำแดงกำลังของเราแก่สมณะโล้นนั้น
แล้วก็ทำภูเขานั้นทั้งลูกลุกเป็นเปลวไฟอันเดียว
ตรวจดูว่าสมณะโล้นคงเป็นเถ้าเพราะเปลวไฟแล้ว
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 517
แต่ก็เห็นพระทศพลมีพระวรกายถูกแสงรังสีมากมาย แล่นท่วมไป
มีพระพักตร์ผ่องวรรณะงาม มีพระฉวีสดใสรุ่งโรจน์อยู่
ก็คิดว่า สมณะผู้นี้ทนไฟไหม้ได้
เอาเถิด จำเราจักรุกรานสมณะผู้นี้ด้วยกระแสน้ำหลากแล้วฆ่าเสีย
จึงปล่อยกระแสน้ำหลากอันลึกล้ำตรงไปยังวิมาน.
แต่นั้น น้ำก็ไม่เปียกเพียงขนผ้าแห่งจีวร หรือเพียงพระโลมา
ในพระสรีระของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น
ซึ่งประทับนั่งในวิมานนั้น อันเต็มด้วยกระแสน้ำหลาก

แต่นั้น ท้าวสุทัสสนเทวราช รู้ว่า ด้วยกระแสน้ำหลากนี้
สมณะหายใจไม่ออก ก็จักตาย จึงเสกมนต์พ่นอัดน้ำแล้วตรวจดู
ก็เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่งอันบริษัทของตนแวดล้อม
รุ่งโรจน์ด้วยแสงแลบแห่งเปลวรังสีต่างชนิด ดุจดวงรัชนีกรในฤดูสารท
ส่งแสงลอดหลืบเมฆสีเขียวครามทนการลบหลู่ตนไม่ได้
ก็คิดว่า จำเราจักฆ่าสมณะนั้นเสียเถิด
แล้วก็บันดาลฝนอาวุธ ๙ ชนิด ให้ตกลง ด้วยความโกรธ
ลำดับนั้น ด้วยอานุภาพของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น
อาวุธทุกอย่างก็กลายเป็นพวงดอกไม้หอมนานาชนิดงามน่าดูอย่างยิ่ง
หล่นลงแทบเบื้องบาทของพระทศพล.

แต่นั้น ท้าวสุทัสสนเทวราช เห็นความอัศจรรย์นั้นก็ยิ่งมีใจโกรธขึ้ง
จึงเอามือทั้งสองจับพระบาทพระผู้มีพระภาคเจ้า
หมายจะฉุดคร่าออกไปจากภพของตน
ก็เหวี่ยงเลยมหาสมุทรไปถึงจักรวาลบรรพต
ตรวจดูว่า สมณะยังเป็นอยู่หรือตายไปแล้ว
ก็เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้ายังคงประทับนั่ง อยู่เหนืออาสนะนั้นนั่นแหละ
ก็คิดว่า โอ สมณะนี้มีอานุภาพมาก เราไม่สามารถจะฉุดคร่าสมณะผู้นี้ออกไปจากที่นี้ได้
หากว่าใครรู้เรื่องเรา เราก็จักอัปยศหาน้อยไม่
จำเราจักปล่อยสมณะนั้นไปเสีย ตราบเท่าที่ใครยังไม่เห็นสมณะผู้นี้.

ลำดับนั้น
พระทศพลทรงทราบความประพฤติทางจิตของท้าวสุทัสสนเทวราชนั้น
ก็ทรงอธิษฐานอย่างที่พวกเทวดาและมนุษย์ทุกคนเห็นท้าวเธออยู่
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 518
ในวันนั้นนั่นเอง พระราชา ๑๐๑ พระองค์ทั่วชมพูทวีป
ก็พากันมาประชุมเพื่อถวายเครื่องสังเวยแด่ท้าวสุทัสสนเทวราชนั้น
พระราชาแห่งมนุษย์ทั้งหลายเหล่านั้น
ทรงเห็นท้าวสุทัสสนเทวราชประทับนั่งจับพระบาทของพระผู้มีพระภาคเจ้า
ก็มีจิตเลื่อมใสในพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า พระเทวราชของพวกเรา
บำเรอพระบาทของพระผู้มีพระภาคเจ้าปิยทัสสี จอมมุนี
โอ ! ธรรมดาพระพุทธเจ้าทั้งหลายน่าอัศจรรย์
โอ ! พระพุทธคุณทั้งหลาย วิเศษจริง ๆ
ก็พากันนอบน้อม ยืนประคองอัญชลีไว้เหนือเศียรเกล้าหมดทุกคน ณ สันนิบาตนั้น


พระผู้มีพระภาคเจ้าปิยทัสสี

ทรงทำท้าวสุทัสสนเทวราชนั้นให้เป็นประมุข ทรงแสดงธรรมโปรด
ครั้งนั้น เทวดาและมนุษย์เก้าหมื่นโกฏิ บรรลุพระอรหัต นั้นเป็นอภิสมัยครั้งที่ ๒.

ครั้งเมื่อศัตรูของพระพุทธเจ้า
ในกุมุทนครซึ่งมีขนาด ๙ โยชน์ ชื่อพระโสณเถระ เหมือนพระเทวทัต
ปรึกษากับ พระมหาปทุมราชกุมาร ให้ปลงพระชนม์พระชนกของพระราชกุมารนั้น
แม้พยายามต่างๆ เพื่อปลงพระชนม์ของพระปิยทัสสีพุทธเจ้า ก็ไม่อาจปลงพระชนม์ได้
ท่านจึงเรียกควาญพญาช้างชื่อ โทณมุขะ
ประเล้าประโลมเขา บอกความว่า เมื่อใดพระสมณะปิยทัสสีผู้นี้ เข้าไปบิณฑบาตยังนครนี้
เมื่อนั้น ท่านจงปล่อยพญาช้างชื่อโทณมุข ให้ฆ่าพระสมณะปิยทัสสีเสีย.

ครั้งนั้น
นายควาญช้างนั้น เป็นราชวัลลภ ไม่ทันพิจารณาถึงประโยชน์และมิใช่ประโยชน์
รู้แต่ว่า สมณะผู้นี้จะพึงทำเราให้หลุดพ้นจากตำแหน่งแน่
จึงรับคำ วันรุ่งขึ้นก็กำหนดเวลาที่พระทศพลเสด็จเข้าไปยังพระนครเข้าไปหาพญาช้างโทณมุข
ซึ่งมีหน้าผากเหมือนหม้อข้าวเหนือตระพองที่เกิดดีแล้ว
มีลำงวงยาวเสมือนธนู มีหูอ่อนกว้างใหญ่
ตาเหลืองดังน้ำผึ้ง ที่นั่งบนตัวดี
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 519
ตะโพกหนาทึบกลมกลึง ระหว่างเข่าเก็บของลับไว้
งางามเหมือนงอนไถ ขนหางสวย โคนหางน่ายำเกรง
สมบูรณ์ด้วยลักษณะครบทุกอย่าง
งามน่าดูเสมือนเมฆสีเขียวคราม
ไปยังถิ่นที่ราชสีห์ชอบเยื้องกรายเหมือนก้อนเมฆเดินได้
มีกำลังเท่า ๗ ช้างสาร ตกมัน ๗ ครั้ง มีพิษทั่วตัว
เหมือนมัจจุมารที่มีเรือนร่างทำให้เมามันมึนยิ่งขึ้น
ปรนด้วยวิธีพิเศษเช่นคำข้าวคลุกกำยานหยอดยาตา รมควัน ฉาบทา เป็นต้น
แล้วก็ส่งไปเพื่อต้องการปลงพระชนม์พระมุนีผู้ประเสริฐ
ผู้ป้องกันชนที่เป็นอริได้ เหมือนช้างเอราวัณ ป้องกันช้างข้าศึกฉะนั้น


ลำดับนั้น
พญาช้างโทณมุขนั้น เป็นช้างพลายตัวดี
พอหลุดไปเท่านั้น ก็ฆ่าช้าง ควาย ม้า ชาย หญิง มีเนื้อตัวพร้อมทั้งงาและงวงเปรอะ
ไปด้วยเลือดของผู้ที่ถูกฆ่า มีตาที่คลุมด้วยข่ายแห่งความตาย หักทะลายเกวียน
บานประตู ประตูเรือนยอด เสาระเนียดเป็นต้น อันฝูงกา สุนัข และ แร้งเป็นต้นติดตามไป
ตัดอวัยวะของควาย คน ม้า และ ช้างพลาย เป็นต้น
กินเหมือนยักษ์กินคน เห็นพระทศพลอันหมู่ศิษย์แวดล้อม กำลังเสด็จมาแต่ไกล
มีกำลังเร็วเสมือนครุฑในอากาศ นุ่งไปหาพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยความเร็ว.

ครั้งนั้น พวกชนชาวเมือง มีใจเปี่ยมไปด้วยความเร่าร้อน
เพราะภัย ก็เข้าไปยังซากกองกำแพงแห่งปราสาท
เห็นพระยาช้างวิ่งแล่นมุ่งหน้าตรงพระตถาคตก็ส่งเสียงร้อง ฮ้า ! ฮ้า !
ส่วนอุบาสกบางพวก เริ่มห้ามกันพญาช้างนั้น ด้วยวิธีการต่างๆ.
ลำดับนั้น คือพระพุทธนาคพระองค์นั้นทรงแลดูพญาช้าง ซึ่งกำลังมา
มีพระหฤทัยเยือกเย็นด้วยพระกรุณาแผ่ไป
ก็ทรงแผ่พระเมตตาไปยังพญาช้างนั้น.
แต่นั้น พญาช้างเชือกนั้น ก็มีสันดานประจำใจอันพระเมตตาที่ทรงแผ่ไปทำให้อ่อนโยน
สำนึกรู้โทษและความผิดของตน
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 520
ไม่อาจยืนต่อเบื้องพระพักตร์ของพระผู้มีพระภาคเจ้าได้
ด้วยความละอาย จึงหมอบจบเศียรเกล้าลงแทบเบื้องพระยุคลบาทของพระผู้มีพระภาคเจ้า
ดุจแทรกเข้าไปในแผ่นปฐพี.
พญาช้างเชือกนั้นหมอบลงอย่างนั้นแล้ว เรือนร่างเสมือนกลุ่มหมอก ก็เจิดจ้า
เหมือนก้อนเมฆสีเขียวความเข้าไปใกล้ยอดภูเขาทองที่ฉาบด้วยแสงสนธยา.

ครั้งนั้น พวกชนชาวเมืองเห็นพญาช้างหมอบจบเศียรเกล้าลงแทบเบื้องบาทของพระจอมมุนี
ก็มีใจเปี่ยมด้วยปีติอย่างยิ่ง ก็พากันส่งเสียงโห่ร้องสาธุการ
กึกก้องดังเสียงราชสีห์ บูชาพระองค์มีประการต่าง ๆ ด้วยดอกไม้หอม
มาลัยจันทน์จุรณหอมและเครื่องประดับเป็นต้น โยนแผ่นผ้าไปโดยรอบ
เทพเภรีก็บรรลือลั่นในท้องนภากาศ

ลำดับนั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแลดูพญาช้างพลาย
ซึ่งหมอบจบเศียรเกล้าแทบเบื้องพระบาท ดั่งยอดเขาที่อาบสีดำ
ก็ทรงลูบกระพองพญาช้าง ด้วยฝ่าพระหัตถ์ อันประดับด้วยขอช้าง ธง สังข์ และจักร
จึงทรงพร่ำสอนพญาช้างนั้น ด้วยพระธรรมเทศนา
ที่เกื้อกูลแก่ความประพฤติทางจิตของพญาช้างนั้นว่า

ดูก่อนพญาช้าง
เจ้าจงฟังคำของเราที่พร่ำสอนและจงเสพคำพร่ำสอนของเรานั้น
ซึ่งประกอบด้วยประโยชน์เกื้อกูล จงกำจัดความยินดีในการฆ่า
ความมีจิตร้ายของเจ้าเสีย จงเป็นช้างที่น่ารัก ผู้สงบ.
ดูก่อนพญาช้าง ผู้ใดเบียดเบียนสัตว์มีชีวิต
ด้วยโลภะ และ โทสะ หรือด้วยโมหะผู้นั้น ชื่อว่า ผู้ฆ่า
สัตว์มีชีวิต ย่อมเสวยทุกข์อันร้ายกาจ ในนรก ตลอดกาลนาน.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 521
ดูก่อนพญาช้าง
เจ้าอย่าได้ทำกรรมเห็นปานนั้นด้วยความประมาท
หรือแม้ด้วยความเมาอีกนะ เพราะผู้ทำสัตว์มีชีวิตที่ตกล่วงไป
ย่อมประสบทุกข์แสนสาหัสในนรกตลอดกัป.

ผู้เบียดเบียน ครั้นเสวยทุกข์อันร้ายกาจในนรกแล้ว
ผิว่า ไปสู่มนุษยโลก ก็ยิ่งเป็นผู้มีอายุสั้น มีรูปร่างแปลกประหลาด ยังมีส่วนพิเศษแห่งทุกข์.

ดูก่อนกุญชร
พญาช้างผู้เบาปัญญา เจ้ารู้ว่าชีวิตเป็นที่รักอย่างยิ่งของเจ้าฉันใด
ในมหาชนชีวิตแม้ของผู้อื่นก็เป็นที่รักฉันนั้น แล้วพึงงดเว้นปาณาติบาตอย่างเด็ดขาด.
ถ้าเจ้ารู้จักโทษที่ไม่เว้นการเบียดเบียน และคุณที่เว้นขาดจากปาณาติบาตแล้ว
จงเว้นขาดปาณาติบาตเสีย ก็ปรารถนาสุขในสวรรค์ในโลกหน้าได้.
ผู้เว้นขาดจากปาณาติบาตฝึกตนดีแล้ว ย่อมเป็นที่รักที่ชอบใจในโลกนี้
เบื้องหน้าแต่กายแตกตายไป พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ย่อมกล่าวว่า เขาก็อยู่ยั้งในสวรรค์.
ใครๆ ในโลก ย่อมไม่ปรารถนาให้ทุกข์มาถึงผู้เกิดมาแล้ว
ทุก ๆ คน ย่อมแสวงสุขกันทั้งนั้น

ดูก่อนพญาช้างผู้ยิ่งใหญ่
เพราะฉะนั้น เจ้าจงละการเบียดเบียนเสีย
เจริญแต่เมตตาและกรุณาในเวลาอันสมควรเถิด.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 522
ลำดับนั้น
พญาช้างอันพระทศพลทรงพร่ำสอนอย่างนี้ ก็ได้สำนึก เป็นผู้ที่ทรงฝึกปรือแล้วอย่างยิ่ง
ถึงพร้อมด้วยวินัย แล จรรยา ก็ได้เป็นเหมือนศิษย์.

ครั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าปิยทัสสี พระองค์นั้น
ทรงทรมานพญาช้างโทณมุข
เหมือนพระศาสดาของเราทรงทรมานช้างธนปาลแล้ว
จึงทรงแสดงธรรมโปรดในสมาคมแห่งมหาชนนั้น.
ครั้งนั้น ธรรมาภิสมัยได้มีแก่สัตว์แปดหมื่นโกฏิ นี้เป็นอภิสมัยครั้งที่ ๓

ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
ต่อจากสมัยของพระสุชาตพุทธเจ้าก็มีพระสยัมภู
พุทธเจ้า พระนามว่า ปิยทัสสี ผู้มีพระยศใหญ่ ผู้นำโลก
อันเข้าเฝ้าได้ยาก เสมอด้วยพระพุทธเจ้า ผู้ไม่มีผู้เสมอ.
พระพุทธเจ้าแม้พระองค์นั้น มีบริวารยศอันประมาณมิได้ รุ่งโรจน์ดุจดวงอาทิตย์
ทรงกำจัดความมืดทุกอย่าง ประกาศพระธรรมจักร.
พระพุทธเจ้าผู้มีพระเดช ที่ชั่งไม่ได้แม้พระองค์
นั้น ก็ทรงมีอภิสมัย ๓ ครั้ง อภิสมัยครั้งที่ ๑ ได้มีแก่ สัตว์แสนโกฏิ.
ท้าวสุทัสสนเทวราชทรงชอบใจมิจฉาทิฏฐิ
พระศาสดาเมื่อทรงบรรเทาทิฏฐิของท้าวเทวราชพระองค์นั้นแล้ว ก็ทรงแสดงธรรมโปรด.
ครั้งนั้น การประชุมของชนนับไม่ได้ เป็นมหาสันนิบาต อภิสมัยครั้งที่ ๒ ได้มีแก่สัตว์เก้าหมื่นโกฏิ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 523
ครั้งพระศาสดาผู้เป็นสารถีฝึกคน
ทรงแนะนำพญาช้างชื่อโทณมุขะ อภิสมัยครั้งที่ ๓ ได้มีแก่สัตว์แปดหมื่นโกฏิ.

ใน สุมังคลนคร มีสหายสองคน คือ
พระราชโอรส พระนามว่า ปาลิตะ
บุตรปุโรหิต ชื่อว่า สัพพทัสสิกุมาร

สองสหายนั้น
เมื่อพระปิยทัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จจาริกอยู่
สดับข่าวว่า เสด็จถึงพระนครของพระองค์ มีบริวารแสนโกฏิ
ก็ออกไปรับเสด็จ สดับฟังธรรมของพระองค์แล้วก็ถวายมหาทาน ๗ วัน
ในวันที่ ๗ จบอนุโมทนาภัตทานของพระผู้มีพระภาคเจ้า
พร้อมกับบริวารแสนโกฏิบวชแล้วบรรลุพระอรหัต.
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงยกปาติโมกข์ขึ้นแสดง
ท่ามกลางภิกษุสาวกเหล่านั้น นี้เป็นสันนิบาตครั้งที่ ๑.

สมัยต่อมา
สัตว์เก้าหมื่นโกฏิบรรลุพระอรหัต.
ในสมาคมของท้าวสุทัสสนเทวราช
พระศาสดาอันภิกษุสาวกเหล่านั้นแวดล้อมแล้ว
ทรงยกปาติโมกข์ขึ้นแสดง นี้เป็นสันนิบาตครั้งที่ ๒.

ต่อมาอีก
ในสมัยทรงแนะนำพญาช้างโทณมุข
สัตว์แปดหมื่นโกฏิบวชแล้วบรรลุพระอรหัต
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงยกปาติโมกข์ขึ้นแสดง
ท่ามกลางภิกษุสาวกเหล่านั้น นี้เป็นสันนิบาตครั้งที่ ๓.

ด้วยเหตุนั้นจึงตรัสว่า
พระปิยทัสสีพุทธเจ้า แม้พระองค์นั้น
ก็ทรงมีสันนิบาตประชุมพระสาวก ๓ ครั้ง
พระสาวกแสนโกฏิ ประชุมกัน เป็นสันนิบาตครั้งที่ ๑.
พระมุนีสาวกเก้าหมื่นโกฏิ ประชุมพร้อมกันเป็นสันนิบาตครั้งที่ ๒
พระสาวกแปดหมื่นโกฏิ  ประชุมกันเป็นสันนิบาตครั้งที่ ๓.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 524
ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์ของเรา เป็นมาณพพราหมณ์ชื่อ กัสสปะ
เรียนจบไตรเพท ครบ ๕ ทั้งอิติหาสศาสตร์
ฟังพระธรรมเทศนาของพระศาสดา ให้สร้างสังฆาราม ที่น่ารื่นรมย์อย่างยิ่ง
ด้วยการบริจาคทรัพย์แสนโกฏิ ตั้งอยู่ในสรณะและศีล ๕.

ลำดับนั้น
พระศาสดาทรงพยากรณ์พระโพธิสัตว์นั้นว่า
ล่วงไป ๑,๘๐๐ กัป นับแต่กัปนี้
จักเป็นพระพุทธเจ้าในโลกพระนามว่า โคตมะ

ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
สมัยนั้น เราเป็นมาณพพราหมณ์ ชื่อว่า กัสสปะ
คงแก่เรียน ทรงมนต์ จบไตรเพท.
เราฟังธรรมของพระปิยทัสสีพุทธเจ้าพระองค์นั้น
แล้ว ก็เกิดความเลื่อมใส ให้สร้างสังฆารามด้วยทรัพย์แสนโกฏิ.
เราถวายอารามแด่พระองค์แล้ว ก็ร่าเริงสลดใจยึดสรณะและศีล ๕ ไว้มั่น.

พระพุทธเจ้าแม้พระองค์นั้น ประทับนั่งท่ามกลางสงฆ์
ก็ทรงพยากรณ์เราว่า เมื่อล่วงไป ๑,๘๐๐ กัป
ท่านผู้นี้จักเป็นพระพุทธเจ้า.
พระตถาคตทรงตั้งความเพียร ฯ ล ฯ จักอยู่ต่อหน้าของท่านผู้นี้.

เราฟังพระดำรัสของพระองค์แล้ว
ก็ยิ่งเลื่อมใสจึงอธิษฐานข้อวัตรยิ่งยวดขึ้นไป
เพื่อบำเพ็ญบารมี ๑๐ ให้บริบูรณ์.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 525
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น
บทว่า สรเณ ปญฺจสีเล จ ความว่า สรณะ ๓ และศีล ๕.
บทว่า อฏฺฐารเส กปฺปสเต ความว่า ล่วงไป ๑,๘๐๐ กัปนับแต่ภัตรกัปนี้.

ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าปิยทัสสี พระองค์นั้น
ทรงมีพระนครชื่อว่า สุธัญญะ
พระชนกพระนามว่า พระเจ้าสุทัตตะ
พระชนนีพระนามว่า พระนางสุจันทาเทวี.
คู่พระอัครสาวกชื่อว่า พระปาลิตะ และ พระสัพพทัสสี
พระพุทธอุปัฏฐาก ชื่อว่า พระโสภิตะ.
คู่พระอัครสาวิกา ชื่อว่า พระสุชาดาและพระธัมมทินนา
โพธิพฤกษ์ ชื่อ ต้นกกุธะ ต้นกุ่ม

พระสรีระสูง ๘๐ศอก
พระชนมายุเก้าหมื่นปี
พระอัครมเหสีพระนามว่า พระนางวิมลา
พระโอรสพระนามว่า พระกัญจนาเวฬะ
เสด็จออกอภิเนษกรมณ์ด้วยรถเทียมม้า.

ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
พระปิยทัสสีศาสดา ทรงมีพระนคร ชื่อว่า สุธัญญะ
พระชนกพระนามว่า พระเจ้าสุทัตตะ
พระชนนีพระนามว่า พระนางจันทา.

พระปิยทัสสีศาสดา

มีพระอัครสาวกชื่อว่า พระปาลิตะ และ พระสัพพทัสสี
พระพุทธอุปัฏฐาก ชื่อว่า พระโสภิตะ.
พระอัครสาวิกา ชื่อว่าพระสุชาดา และ พระธัมมทินนา
โพธิพฤกษ์ของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นเรียกว่า ต้นกกุธะ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 526
พระพุทธเจ้าแม้พระองค์นั้น มีพระบริวารยศหา
ประมาณมิได้ มีพระมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ
สูง ๘๐ ศอก ปรากฏชัดเหมือนต้นพญาสาละ.
พระรัศมีของพระปิยทัสสีพุทธเจ้า ผู้ไม่มีผู้เสมอ
ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่พระองค์นั้นเป็นเช่นใด
รัศมีของดวงไฟ ดวงจันทร์ และดวงอาทิตย์ หาเป็นเช่นนั้นไม่.
พระผู้มีพระจักษุ ดำรงอยู่ในโลกเก้าหมื่นปี
พระชนมายุของพระผู้เป็นเทพแห่งเทพพระองค์นั้น ก็มีเพียงเท่านั้น.

พระพุทธเจ้าผู้เสมอด้วยพระพุทธเจ้า ผู้ไม่มีผู้เสมอพระองค์นั้น ก็ดี
คู่พระอัครสาวกผู้ไม่มีผู้เทียบได้เหล่านั้น ก็ดี ทั้งนั้น ก็อันตรธานไปสิ้น
สังขารทั้งปวงก็ว่างเปล่าแน่แท้.

แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น
บทว่า สาลราชาว ความว่า เห็นได้ชัดเหมือนพญาสาลพฤกษ์
ที่มีลำต้นเกลากลมออกดอกบานสะพรั่งทั่วทั้งต้น ดูน่ารื่นรมย์อย่างยิ่ง.
บทว่า ยุคานิปิ ตานิ ได้แก่ คู่ มีคู่พระอัครสาวกเป็นต้น.
คาถาที่เหลือทุกแห่งง่ายทั้งนั้นแล.
จบพรรณนาวงศ์พระปิยทัสสีพุทธเจ้า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 527


33

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 492

๑๒. วงศ์พระสุชาตพุทธเจ้าที่ ๑๒
ว่าด้วยพระประวัติของพระสุชาตพุทธเจ้า

[๑๓] ในมัณฑกัปนั้นนั่นเองมีพระพุทธเจ้าพระนามว่า สุชาตะ ผู้นำโลก
ผู้มีพระหนุดังคางราชสีห์ มีพระศอดังโคอุสภะ มีพระคุณหาประมาณมิได้ อันบุคคลเข้าเฝ้าได้ยาก.
พระสัมพุทธเจ้า ทรงรุ่งเรืองด้วยสิริย่อมงามสง่าทุกเมื่อ เหมือนดวงจันทร์หมดจดไร้มลทิน
เหมือนดวงอาทิตย์ส่องแสงแรงร้อน ฉะนั้น.
พระสัมพุทธเจ้าทรงบรรลุพระโพธิญาณอันสูงสุด
สิ้นเชิงแล้ว ทรงประกาศพระธรรมจักร ณ กรุงสุมงคล.
เมื่อพระสุชาตพุทธเจ้า ผู้นำโลก ทรงแสดงธรรม
อันประเสริฐ สัตว์แปดสิบโกฏิ ก็ตรัสรู้ในการแสดงธรรม ครั้งที่ ๑.
ครั้งพระสุชาตพุทธเจ้า ผู้มีบริวารยศหาประมาณมิได้ เสด็จเข้าจำพรรษา ณ เทวโลก.
อภิสมัยครั้งที่ ๒ ได้มีแก่ สัตว์สามล้านเจ็ดแสน.
ครั้งพระสุชาตพุทธเจ้า ผู้ไม่มีผู้เสมอ เสด็จเข้าเฝ้าพระชนก
อภิสมัยครั้งที่ ๓ ได้มีแก่สัตว์หกล้าน.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 493

พระสุชาตพุทธเจ้า ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่
ทรงมีสันนิบาตประชุมพระสาวกขีณาสพไร้มลทิน มีจิตสงบผู้คงที่ ๓ ครั้ง.
พระอรหันต์สาวกผู้ถึงกำลังแห่งอภิญญา ผู้ไม่ถึงพร้อมในภพน้อยภพใหญ่หกล้าน
พระสาวกเหล่านั้นประชุมกัน ครั้งที่ ๑.
ในสันนิบาต ต่อมาอีก เมื่อพระชินพุทธเจ้าเสด็จ
ลงจากเทวโลกชั้นไตรทศ พระสาวกสี่แสนประชุมกัน ครั้งที่ ๒.
พระสุทัสสนะอัครสาวก เมื่อเข้าเฝ้าพระนราสภ
ก็เข้าเผ้าพระสัมพุทธเจ้าพร้อมด้วย พระสาวกสี่แสน.
สมัยนั้น เราเป็นจักรพรรดิ์เป็นใหญ่แห่งทวีปทั้ง ๔ มีกำลังมาก ท่องเที่ยวไปในอากาศได้.
เรามอบถวายสมบัติใหญ่ในทวีปทั้ง ๔ และรัตนะ ๗ แด่พระพุทธเจ้าผู้สูงสุด
แล้วก็บวชในสำนักของพระองค์.
พวกคนวัดรวบรวมผลรายได้ในชนบท น้อมถวายเป็นปัจจัย ที่นอนและที่นั่งแด่พระภิกษุสงฆ์.

ครั้งนั้น พระพุทธเจ้าผู้เป็นใหญ่แห่งหมื่นโลกธาตุ
ก็ได้ทรงพยากรณ์เราว่า จักเป็นพระพุทธเจ้าในที่สุดสามหมื่นกัป.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 494
พระตถาคตออกอภิเนษกรมณ์ จากกรุงกบิลพัสดุ์
อันน่ารื่นรมย์ ทรงตั้งความเพียรทำทุกกรกิริยา.
พระตถาคตประทับนั่ง โคนต้นอชปาลนิโครธ
รับข้าวมธุปายาส ณ ที่นั้น เสด็จเข้าไปยังแม่น้ำเนรัญชรา.
พระชินเจ้าพระองค์นั้น เสวยข้าวมธุปายาส ณ
ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา เสด็จดำเนินตามทางอันดีที่เขาจัดแต่งไว้ ไปที่โคนโพธิพฤกษ์.
แต่นั้น พระผู้มีพระยศใหญ่ ทรงทำประทักษิณ
โพธิมัณฑสถาน อันยอดเยี่ยม ตรัสรู้ที่โคนโพธิพฤกษ์ชื่อต้นอัสสัตถะ.

ท่านผู้นี้ จักมี
พระชนนีพระนามว่า พระนางมายา
พระชนกพระนามว่าพระเจ้าสุทโธทนะ
ท่านผู้นี้จักชื่อว่า โคตมะ.
จักมีอัครสาวก ชื่อว่าพระโกลิตะและพระอุปติสสะ ผู้ไม่มีอาสวะ ปราศจากราคะ มีจิตสงบ ตั้งมั่น
พระพุทธอุปฐากชื่อว่า อานันทะ จักบำรุง พระชินเจ้าพระองค์นี้.
จักมีอัครสาวิกาชื่อว่า พระเขมา และพระอุบลวรรณา ผู้ไม่มีอาสวะ ปราศจากราคะ มีจิตสงบ ตั้งมั่น
โพธิพฤกษ์ของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ชื่อว่า ต้นอัสสัตถะ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 495
อัครอุปัฏฐาก ชื่อว่า จิตตะ และหัตถกะอาฬวกะ
อัครอุปัฏฐายิกา ชื่อว่า นันทมาตา และ อุตตรา
พระโคดมพุทธเจ้า ผู้มีพระยศ มีพระชนมายุ ๑๐๐ ปี.
มนุษย์และเทวดา ฟังพระดำรัสนี้ของพระสุชาตพุทธเจ้า ผู้ไม่มีผู้เสมอ ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่
ก็ปลาบปลื้มใจว่า ท่านผู้นี้เป็นหน่อพุทธางกูร.
หมื่นโลกธาตุ ทั้งเทวโลก ก็พากันโห่ร้อง ปรบมือ หัวร่อร่าเริง

ประคองอัญชลีนมัสการ กล่าวว่า
ผิว่า พวกเราจักพลาดคำสั่งสอนของพระโลกนาถพระองค์นี้
ในอนาคตกาล พวกเราก็จักอยู่ต่อหน้าของท่านผู้นี้.

มนุษย์ทั้งหลาย เมื่อจะข้ามแม่น้ำ พลาดท่าน้ำ
ข้างหน้า ก็ถือเอาท่าน้ำข้างหลัง ข้ามแม่น้ำใหญ่ฉันใด.
พวกเราทั้งหมด ผิว่า ผ่านพ้นพระชินพุทธเจ้า
พระองค์นี้ ในอนาคตกาล พวกเราก็จักอยู่ต่อหน้าของท่านผู้นี้.
เราฟังพระดำรัสของพระองค์แล้ว ก็ยิ่งร่าเริงใจ
จึงอธิษฐานข้อวัตรยิ่งยวดขึ้นไป เพื่อบำเพ็ญบารมี ๑๐ ให้บริบูรณ์.
เราเล่าเรียนพระสูตร พระวินัย และนวังคสัตถุศาสน์ทั้งหมด ยังพระศาสนาของพระชินเจ้าให้งาม.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 496
เราอยู่อย่างไม่ประมาทในพระศาสนานั้น
เจริญพรหมวิหารภาวนา ถึงฝั่งแห่งอภิญญา ก็ไปสู่พรหมโลก.

พระสุชาตพุทธเจ้า ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่
มีพระนครชื่อว่า สุมงคล
พระชนกพระนามว่า พระเจ้าอุคคตะ
พระชนนีพระนามว่า พระนางประภาวดี.
ทรงครองฆราวาสวิสัยอยู่เก้าพันปี
ทรงมีปราสาทชั้นเยี่ยม ๓ หลัง ชื่อว่า สิริ อุปสิริ และจันทะ.
มีพระสนมนารีแต่งกายงาม สองหมื่นสามพันนาง
พระอัครมเหสีพระนามว่า พระนางสิรินันทา
พระโอรส พระนามว่า อุปเสนะ.
พระพุทธชินเจ้าทรงเห็นนิมิต ๔
เสด็จออกอภิเนษกรมณ์ด้วยยานคือ ม้า
ทรงตั้งความเพียร ๙ เดือนเต็ม.
พระมหาวีระ สุชาตพุทธเจ้า ผู้นำโลก ผู้สงบอันท้าวมหาพรหมอาราธนาแล้ว
ทรงประกาศพระธรรมจักร ณ สุมงคลราชอุทยานอันอุดม.

พระสุชาตพุทธเจ้า ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่
มีพระอัครสาวก ชื่อ พระสุทัสสนะ และ พระสุเทวะ
พระพุทธอุปัฏฐากชื่อ นารทะ.
พระอัครสาวิกา ชื่อพระนาคา และ พระนาคสมาลา
โพธิพฤกษ์ของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น เรียกว่า มหาเวฬุ ต้นไผ่ใหญ่.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 497
ไผ่ต้นนั้น ลำต้นตัน ไม่มีรู มีใบมาก ลำตรงเป็นไผ่ต้นใหญ่ น่าดูน่ารื่นรมย์.
ไผ่ต้นนั้น เติบโตต้นเดียวโดด กิ่งแตกออกจากต้นนั้น งามเหมือนกำแววหางนกยูง ที่เขาผูกไว้ดีแล้ว.
ไผ่ต้นนั้น ไม่มีหนาม ไม่มีรู เป็นไผ่ใหญ่มีกิ่งแผ่กว้าง ไม่มีช่อง ร่มเงาทึบ น่ารื่นรมย์.
อัครอุปัฏฐาก ชื่อ สุทัตตะ และ จิตตะ
อัครอุปัฏฐายิกา ชื่อ สุภัททา และ ปทุมา.
พระชินพุทธเจ้าพระองค์นั้น ว่าโดยส่วนสูง ๕๐ ศอก
ทรงประกอบด้วยความประเสริฐ โดยอาการพร้อมสรรพ ทรงถึงพระพุทธคุณ ครบถ้วน.
พระรัศมีของพระองค์ เสมอด้วยรัศมีของพระพุทธเจ้าผู้ไม่มีผู้เสมอ ย่อมแล่นออกโดยรอบ
พระวรกาย พระองค์มีพระคุณหาประมาณมิได้ ชั่งไม่ได้ เปรียบไม่ได้ด้วยข้ออุปมาทั้งหลาย.

ในยุคนั้น มนุษย์มีอายุเก้าหมื่นปี
พระองค์ทรงมีพระชนม์ยืนถึงเพียงนั้น จึงยังหมู่ชนเป็นอันมากให้ข้ามโอฆสงสาร.
ครั้งนั้น ปาพจน์คือธรรมวินัย งามด้วยพระอรหันต์ทั้งหลาย
เหมือนคลื่นในสาคร เหมือนดารากรในนภากาศ ฉะนั้น.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 498
พระศาสนานี้งดงาม ด้วยพระอรหันต์ทั้งหลายผู้มีวิชชา ๓ มีอภิญญา ๖ ผู้ถึงกำลังฤทธิ์ ผู้คงที่.
พระพุทธเจ้า ผู้เสมอด้วยพระพุทธเจ้าผู้ไม่มีผู้เสมอพระองค์นั้นด้วย พระคุณทั้งหลาย ที่ชั่งไม่ได้
เหล่านั้นด้วย ทั้งนั้นก็อันตรธานไปสิ้น สังขารทั้งปวงก็ว่างเปล่า แน่แท้.
พระสุชาตชินวรพุทธเจ้า ดับขันธปรินิพพาน
ณ พระวิหารเสลาราม พระเจดีย์ของพระศาสดา ณ พระวิหารนั้น สูง ๓ คาวุต.๑
จบวงศ์พระสุชาตพุทธเจ้าที่ ๑๒
๑. ๔ คาวุต เป็น ๑ โยชน์
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 499

พรรณนาวงศ์พระสุชาตพุทธเจ้าที่ ๑๒
ภายหลัง ต่อมาจากสมัยของพระสุเมธพุทธเจ้า ในมัณฑกัปนั้นนั่นแล
เมื่อสัตว์ทั้งหลายมีอายุที่นับไม่ได้มาโดยลำดับ และลดลงตามลำดับ จนมีอายุเก้าหมื่นปี
พระศาสดาพระนามว่า สุชาตะ ผู้มีพระรูปกายเกิดดี มีพระชาติบริสุทธิ์ ก็อุบัติในโลก
แม้พระองค์ก็ทรงบำเพ็ญบารมีแล้วบังเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต
จุติจากนั้นแล้ว ทรงถือปฏิสนธิในพระครรภ์ของ พระนางปภาวดี
อัครมเหสีในราชสกุลของ พระเจ้าอุคคตะ กรุงสุมงคล
ถ้วนกำหนดทศมาสก็ออกจากพระครรภ์ของพระชนนี.
ในวันเฉลิมพระนาม พระชนกชนนีเมื่อจะทรงเฉลิมพระนามของพระองค์
ก็ได้ทรงเฉลิมพระนามว่า สุชาตะ
เพราะเกิดมาแล้ว ยังสุขให้เกิดแก่สัตว์ทั้งหลาย ทั่วชมพูทวีป.
พระองค์ทรงครองฆราวาสวิสัยเก้าพันปี
ทรงมีปราสาท ๓ หลัง ชื่อว่าสิรี อุปสิรี และสิรินันทะ๑
ปรากฏพระสนมนารีสองหมื่นสามพันนาง มี พระนางสิรินันทาเทวี เป็นประมุข.
เมื่อพระโอรสพระนามว่า อุปเสน ของพระนางสิรินันเทวีทรงสมภพแล้ว
พระองค์ก็ทรงเห็นนิมิต ๔
ทรงม้าต้นชื่อว่า หังสวหัง เสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์
ทรงผนวช มนุษย์โกฏิหนึ่ง ก็บวชตามพระองค์ผู้ทรงผนวชอยู่

ลำดับนั้น
พระมหาบุรุษนั้น อันมนุษย์เหล่านั้นแวดล้อมแล้ว
ทรงบำเพ็ญเพียร ๙ เดือน ในวันวิสาขบูรณมี เสวยข้าวมธุปายาส รสอร่อย
ที่ธิดาของสิรินันทนเศรษฐีแห่งสิรินันทนนคร ถวายแล้ว
ทรงยับยั้งพักกลางวัน ณ สาลวัน
๑. บาลีเป็น สิริ อุปสิริ และจันทะ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 500
เวลาเย็น ทรงรับหญ้า ๘ กำ ที่สุนันทอาชีวกถวายแล้ว
เสด็จเข้าไปยังโพธิพฤกษ์ ชื่อ เวฬุ ต้นไผ่
ทรงลาดสันถัตหญ้ากว้าง ๓๓ ศอก
เมื่อดวงอาทิตย์ยังคงอยู่ ก็ทรงกำจัดกองกำลังมาร พร้อมทั้งตัวมาร
ทรงแทงตลอดพระสัมมาสัมโพธิญาณ
ก็ทรงเปล่งพระอุทานที่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ทรงประพฤติมาแล้ว
ทรงยับยั้งอยู่ใกล้โพธิต้นพฤกษ์นั่นแล ตลอด ๗ สัปดาห์ อันท้าวมหาพรหมทูลอาราธนาแล้ว
ทรงเห็น พระสุทัสสนกุมาร พระกนิษฐภาดาของพระองค์และเทวกุมาร บุตรปุโรหิต
เป็นผู้สามารถแทงตลอดธรรมคือสัจจะ ๔
เสด็จไปทางอากาศ ลงที่ สุมังคลราชอุทยาน กรุงสุมงคล
ให้พนักงานเฝ้าราชอุทยาน เรียก พระสุทัสสนกุมาร กนิษฐภาดาและ เทวกุมาร
บุตรปุโรหิตมาแล้ว ประทับนั่งท่ามกลางกุมารทั้งสองนั้น พร้อมด้วยบริวาร
ทรงประกาศพระธรรมจักร ณ ที่นั้น ธรรมาภิสมัยได้มีแก่สัตว์โกฏิหนึ่ง นี้เป็นอภิสมัยครั้งที่ ๑.
ครั้ง พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงทำยมกปาฏิหาริย์ ณ โคน มหาสาลพฤกษ์
ใกล้ประตูสุทัสสนราชอุทยานเสด็จเข้าจำพรรษา ณ ดาวดึงส์เทวโลก
ธรรมาภิสมัยได้มีแก่สัตว์สามล้านเจ็ดแสน นี้เป็นอภิสมัยครั้งที่ ๒.

ครั้งพระสุชาตทศพล เสด็จเข้าเฝ้าพระชนก
ธรรมาภิสมัยได้มีแก่สัตว์หกล้าน นี้เป็นอภิสมัยครั้งที่ ๓.

ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
ในมัณฑกัปนั้นนั่นแล มีพระพุทธเจ้าพระนามว่า สุชาตะ ผู้นำ
มีพระหนุดังคางราชสีห์ มีพระศอดังโค อุสภะ มีพระคุณหาประมาณมิได้ เข้าเฝ้าได้ยาก.
พระสัมพุทธเจ้า รุ่งเรืองด้วยพระสิริ ย่อมงามสง่าทุกเมื่อ เหมือนดวงจันทร์หมดจดไร้มลทิน
เหมือนดวงอาทิตย์ ส่องแสงแรงร้อน ฉะนั้น.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 501
พระสัมพุทธเจ้า บรรลุพระโพธิญาณอันสูงสุดสิ้นเชิงแล้ว
ทรงประกาศพระธรรมจักร ณ กรุงสุมงคล.
เมื่อพระสุชาตพุทธเจ้า ผู้นำโลก
ทรงแสดงธรรมอันประเสริฐ สัตว์แปดสิบโกฏิ ตรัสรู้ ในการแสดงธรรมครั้งที่ ๑.
ครั้งพระสุชาตพุทธเจ้า ผู้มีบริวารยศหาประมาณมิได้
เสด็จเข้าจำพรรษา ณ เทวโลก อภิสมัยครั้งที่ ๒ ได้มีแก่ สัตว์ สามล้านเจ็ดแสน.
ครั้งพระสุชาตพุทธเจ้า ผู้เสมอด้วย พระพุทธเจ้า
ผู้ไม่มีผู้เสมอ เข้าไปโปรดพระชนก อภิสมัยครั้งที่ ๓ ได้มีแก่สัตว์ หกล้าน.

แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น
บทว่า ตตฺเถว มณฺฑกปฺปมฺหิ ความว่า ในมัณฑกัปใด
พระผู้มีพระภาคเจ้า สุเมธะ ทรงอุบัติแล้ว ในกัปนั้นนั่นแหละ
แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าสุชาตะก็อุบัติแล้ว.
บทว่า สีหหนุ ได้แก่ ชื่อว่า สีหหนุ
เพราะพระหนุของพระองค์เหมือนคางราชสีห์ ก็ราชสีห์ คางล่างเท่านั้นเต็ม คางบนไม่เต็ม.
ส่วนพระมหาบุรุษนั้น เต็มทั้งสองพระหนุเหมือนคางล่างของราชสีห์
จึงเป็นเสมือนดวงจันทร์ ๑๒ คา
ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า สีหหนุ.
บทว่า อุสภกฺขนฺโธ ได้แก่มีพระศอเสมอ อิ่ม กลม เหมือนโค อุสภะ
อธิบายว่า มีลำพระศอเสมือนกลองทองกลมกลึง.
บทว่า สตรํสีวแปลว่า เหมือนควงอาทิตย์.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 502
บทว่า สิริยา ได้แก่ ด้วยพระพุทธสิริ.
บทว่า โพธิมุตฺตมํ ได้แก่ พระสัมโพธิญาณอันสูงสุด.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงแสดงธรรมโปรดมนุษย์ที่มาใน สุธรรมราชอุทยาน กรุงสุธรรมวดี
ทรงยังชนหกล้านให้บวชด้วยเอหิภิกขุภาวะ
ทรงยกปาติโมกข์ขึ้นแสดงท่ามกลางภิกษุเหล่านั้น นั้น เป็นสันนิบาตครั้งที่ ๑.

ต่อจากนั้น
เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จลงจากเทวโลก
ภิกษุห้าล้านประชุมกัน เป็นสันนิบาตครั้งที่ ๒.
พระสุทัสสนเถระพาบุรุษสี่แสนซึ่งฟังข่าวว่าพระสุทัสสนกุมาร
ทรงผนวชในสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้า บรรลุพระอรหัตจึงมาเข้าเฝ้าพระสุชาตนราสภ.
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงธรรมโปรดบุรุษเหล่านั้น
ทรงให้บวชด้วยเอหิภิกขุบรรพชา
ทรงยกปาติโมกข์ขึ้นแสดงในสันนิบาตที่ประกอบด้วยองค์ ๔ นั้นเป็นสันนิบาตครั้งที่ ๓.

ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า

พระสุชาตพุทธเจ้า ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่
มีสันนิบาตประชุมพระสาวก ผู้เป็นพระขีณาสพไร้มลทินมีจิตสงบคงที่ ๓ ครั้ง.
พระอรหันตสาวก ผู้ถึงกำลังแต่งอภิญญา
ผู้ไม่ต้องไปในภพน้อยภพใหญ่ หกล้าน เหล่านั้นประชุมกันเป็นการประชุมครั้งที่ ๑.
ในสันนิบาตต่อมาอีก
เมื่อพระชินพุทธเจ้าเสด็จลงจากเทวโลก
พระอรหันตสาวกห้าล้านประชุมกัน เป็นการประชุมครั้งที่ ๒.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 503
พระสุทัสสนอัครสาวก เมื่อเข้าเฝ้าพระนราสภก็เข้าเฝ้าพระสัมพุทธเจ้า พร้อมด้วยภิกษุสาวกสี่แสน.
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น
บทว่า อปฺปตฺตานํ ความว่า ผู้ไม่ถึงพร้อมในภพน้อยภพใหญ่.
ปาฐะว่า อปฺปวตฺตา ภวาภเว ดังนี้ก็มี. ความก็อย่างนั้นเหมือนกัน.
บทว่า ติทิโวโรหเณ ได้แก่ เมื่อพระชินพุทธเจ้าเสด็จลงจากโลกสวรรค์.
จึงเห็นว่าลงในอรรถกัตตุการก ท่านกล่าวเป็นการกวิปลาส.
อีกนัยหนึ่ง
บทว่า ติทิโวโรหเณ ได้แก่ ในการเสด็จลงจากเทวโลก.
บทว่า ชิเน ได้แก่ เมื่อพระชินพุทธเจ้า พึงเห็นสัตตมีวิภัตติลงในในอรรถฉัฏฐีวิภัตติ.

ได้ยินว่า ครั้งนั้น
พระโพธิสัตว์ของเรา เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ
สดับข่าวว่า พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นแล้วในโลก ก็เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า
สดับธรรมกถา ก็ถวายราชสมบัติในมหาทวีปทั้ง ๔ พร้อมด้วยรัตนะ ๗ แด่
พระภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน ทรงผนวชในสำนักของพระศาสดา
ชาวทวีปทั้งสิ้น รวบรวมรายได้ที่เกิดในรัฐ ทำหน้าที่ของคนวัดให้สำเร็จ ถวาย
มหาทานเป็นประจำแก่พระสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน พระศาสดาแม้พระองค์นั้น
ก็ทรงพยากรณ์พระโพธิสัตว์นั้นว่า
จักเป็นพระพุทธเจ้า พระนามว่า โคตมะ ในอนาคตกาล.
ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
สมัยนั้น เราเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ เป็นใหญ่ในทวีปทั้ง ๔ มีกำลังมาก ท่องเที่ยวไปในอากาศ.
เรามอบถวายราชสมบัติอย่างใหญ่ ในทวีปทั้ง ๔ และรัตนะ ๗ แด่พระพุทธเจ้าผู้สูงสุด
แล้วบวชในสำนักของพระองค์.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 504
ชาววัดทั้งหลาย รวบรวมรายได้ในชนบทมาจัดปัจจัย ที่นอน ที่นั่ง สำหรับพระภิกษุสงฆ์.
แม้พระพุทธเจ้า ผู้เป็นใหญ่ในหมื่นโลกธาตุพระองค์นั้น
ก็ทรงพยากรณ์เราว่า ท่านผู้นี้จักเป็นพระพุทธเจ้า ในที่สุดสามหมื่นกัป.
พระตถาคตตั้งความเพียร ฯ ล ฯ จักอยู่ต่อหน้าของท่านผู้นี้.
เราฟังพระดำรัสของพระองค์แล้ว ก็ยิ่งร่าเริงใจ
อธิษฐานข้อวัตรยิ่งยวดขึ้นไป เพื่อบำเพ็ญบารมี ๑๐ ให้บริบูรณ์.
เราเล่าเรียนพระสูตร พระวินัย และนวังคสัตถุศาสน์ทั้งหมด ยังพระศาสนาของพระชินเจ้าให้งาม.
เราอยู่อย่างไม่ประมาทในพระศาสนานั้น
เจริญพรหมวิหารภาวนา ถึงฝั่งแห่งอภิญญาแล้ว ไปสู่พรหมโลก.

แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น
บทว่า จตุทีปมฺหิ ความว่า แห่งมหาทวีป ๔ ที่มีทวีป [น้อย.] เป็นบริวาร.
บทว่า อนฺตลิกฺขจโร ความว่า ทำจักรรัตนะไว้ข้างหน้าท่องเที่ยวไปในอากาศ.
บทว่า รตเน สตฺต ได้แก่ รัตนะ ๗ มีหัตถิรัตนะเป็นต้น.
บทว่า อุตฺตเม ก็คือ อุตฺตมานิ เเปลว่า อุดม
อีกนัยหนึ่ง
พึงเห็นอรรถว่าอุตฺตเม พุทฺเธ แปลว่าในพระพุทธเจ้า ผู้อุดม.
บทว่า นิยฺยาตยิตฺวาน ได้แก่ ถวาย.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 505
บทว่า อุฏฺฐานํ ได้แก่ ผลประโยชน์ที่เกิดในรัฐ อธิบายว่า รายได้.
บทว่า ปฏิปิณฺฑิย ได้แก่ รวมเอามาเก็บไว้เป็นกอง.
บทว่า ปจฺจยํ ได้แก่ ปัจจัยต่างๆ มีจีวรเป็นต้น .
บทว่า ทสสหสฺสิมฺหิ อิสฺสโร ได้แก่ เป็นใหญ่ในหมื่นโลกธาตุ
คำนี้นั้น พึงทราบว่า ตรัสหมายถึงเขตแห่งชาติ
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเป็นใหญ่แห่งโลกธาตุ ที่ไม่มีที่สุด.
บทว่า ตึสกฺปฺปสหสฺสมฺหิ ความว่า ในที่สุดสามหมื่นกัปนับแต่กัปนี้.

พระผู้มีพระภาคเจ้าสุชาตะ
ทรงมีพระนคร ชื่อว่า สุมังคละ
พระชนกพระนามว่า พระเจ้าอุคคตะ
พระชนนีพระนามว่า พระนางปภาวดี
คู่พระอัครสาวก ชื่อว่า พระสุทัสสนะ และ พระสุเทวะ
พระพุทธอุปัฏฐากชื่อว่า พระนารทะ
พระอัครสาวิกา ชื่อว่า พระนาคา และ พระนาคสมาลา
โพธิพฤกษ์ชื่อว่า มหาเวฬุ ต้นไผ่ใหญ่
เขาว่าต้นไผ่ใหญ่นั้น มีรูลีบ ลำต้นใหญ่ ปกคลุมด้วยใบทั้งหลายที่ไร้มลทิน
สีเสมือนแก้วไพฑูรย์ น่ารื่นรมย์อย่างยิ่ง งามเพริศแพร้วเหมือนกำแววหางนกยูง
ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น มีพระสรีระสูง ๕๐ ศอก
พระชนมายุเก้าหมื่นปี
พระอัครมเหสีพระนามว่า พระนางสิรีนันทา
พระโอรสพระนามว่า อุปเสนะ
เสด็จออกอภิเนษกรมณ์ด้วยยาน คือ ม้าต้น.
พระองค์ดับขันธปรินิพพาน ณ พระวิหาร สิลาราม กรุงจันทวดี

ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า

พระสุชาตพุทธเจ้า ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่
ทรงมีพระนครชื่อว่า สุมงคล
พระชนกพระนามว่า พระเจ้าอุคคตะ
พระชนนีพระนามว่า พระนางปภาวดี.
พระสุชาตพุทธเจ้า ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่
ทรงมีพระอัครสาวก ชื่อว่าพระสุทัสสนะ และ พระสุเทวะ
พระพุทธอุปัฏฐาก ชื่อว่าพระนารทะ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 506
มีพระอัครสาวิกา ชื่อว่าพระนาคา และพระนาคสมาลา
โพธิพฤกษ์ของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นเรียกว่า มหาเวฬุ.
ไผ่ต้นนั้น ลำต้นตัน ไม่มีรู มีใบมาก ลำตรงเป็นไผ่ต้นใหญ่ น่าดูน่ารื่นรมย์.
ลำเดียวโดด เติบโต กิ่งทั้งหลายแตกออกจาก
ต้นนั้น ไผ่ต้นนั้นงามเหมือนกำแววทางนกยูง ที่เขาผูกกำไว้ดีแล้ว.
ไผ่ต้นนั้นไม่มีหนาม ไม่มีรู เป็นไผ่ใหญ่ มีกิ่งแผ่ไปไม่มีช่อง มีร่มเงาทึบน่ารื่นรมย์.
พระชินพุทธเจ้าพระองค์นั้น ว่าโดยส่วนสูง ก็ ๕๐ ศอก
ทรงประกอบด้วยความประเสริฐ โดยเพราะอาการพร้อมสรรพ ทรงถึงพระพุทธคุณครบถ้วน.
พระรัศมีของพระองค์ ก็เสมอด้วยพระพุทธเจ้าที่ไม่มีผู้เสมอ
แล่นออกโดยรอบพระวรกายไม่มีประมาณ ชั่งไม่ได้ เปรียบไม่ได้ด้วยข้ออุปมาทั้งหลาย.

ในยุคนั้น มนุษย์มีอายุเก้าหมื่นปี
พระองค์ทรงพระชนม์ยืนถึงเพียงนั้น จึงทรงยังหมู่ชนเป็นอันมากให้ข้ามโอฆสงสาร.
ครั้งนั้น ปาพจน์คือธรรมวินัย งามด้วยพระอรหันต์ทั้งหลาย เหมือนคลื่นในสาคร
เหมือนดารากรในท้องนภากาศ ฉะนั้น.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 507
พระพุทธเจ้าผู้เสมอด้วยพระพุทธเจ้า ผู้ไม่มีผู้เสมอพระองค์นั้น
ด้วยพระคุณเหล่านั้นที่ชั่งไม่ได้ด้วยทั้งนั้น ก็อันตรธานไปสิ้น สังขารทั้งปวงก็ว่างเปล่าแน่แท้.
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น
บทว่า อจฺฉิทฺโท แปลว่า มีรูเล็ก
พึงเห็นเหมือนในประโยคเป็นต้นว่า อนุทรา กญฺญา หญิงสาวท้องเล็ก อาจารย์
บางพวกกล่าว ฉิทฺทํ โหติ ปริตฺตกํ ดังนี้ก็มี.
บทว่า ปตฺติโก แปลว่า มีใบมาก. อธิบายว่า ปกคลุมด้วยใบทั้งหลาย มีสีเหมือนแก้วผลึก
บทว่า อุชุ ได้แก่ ไม่คด ไม่งอ.
บทว่า วํโส แปลว่า ไม้ไผ่.
บทว่า พฺรหา ได้แก่ ใหญ่โดยรอบ.
บทว่า เอกกฺขนฺโธ ความว่า งอกขึ้นลำเดียวโดดไม่มีเพื่อน.
บทว่า ปวฑฺฒิตฺวา แปลว่า เติบโตแล้ว.
บทว่า ตโต สาขาปภิชฺชติ ได้แก่ กิ่ง ๕ แฉก แตกออกจากยอดไผ่ต้นนั้น.
ปาฐะว่า ตโตสาขา ปภิชฺชถ ดังนี้ก็มี.
บทว่า สุพทฺโธ ได้แก่ ที่เขาผูกโดยอาการผูกเป็นห้าเส้นอย่างดี.
กำแววหางนกยูง ที่เขาทำผูกเพื่อป้องกันแดด เรียกว่าโมรหัตถะ.
บทว่า น ตสฺส กณฺฏกา โหนฺติ ความว่า ไผ่ต้นนั้น เป็นต้นไม้มีหนามตามธรรมดา ก็ไม่มีหนาม.
บทว่า อวิรโฬ ได้แก่ ปกคลุมด้วยกิ่งไม่มีช่อง.
บทว่า สนฺทจฺฉาโย ได้แก่ มีร่มเงาทึบ ท่านกล่าวว่ามีร่มเงาทึบ ก็เพราะไม่มีช่อง.
บทว่า ปญฺญาสรตโน อาสิ ได้แก่ ๕๐ ศอก.
บทว่า สพฺพาการวรูเปโต ได้แก่ ประกอบแล้วด้วยความประเสริฐทั้งหลาย
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 508
โดยอาการทั้งปวง ชื่อว่า ประกอบพร้อมด้วยความประเสริฐโดยการพร้อมสรรพ.
บทว่า สพฺพคุณมุปาคโต เป็นเพียงไวพจน์ของบทหน้า.
บทว่า อปฺปมาโณ ได้แก่ เว้นจากประมาณ หรือชื่อว่า ไม่มีประมาณ เพราะไม่อาจจะนับได้.
บทว่า อตุลิโย แปลว่า ชั่งไม่ได้. อธิบายว่า ไม่มีใครเหมือน.
บทว่า โอปมิเมหิ ได้แก่ ข้อที่พึงเปรียบ.
บทว่า อนูปโม ได้แก่ เว้นการเปรียบ อธิบายว่า อุปมาไม่ได้ เพราะไม่อาจกล่าว
อุปมาว่า เหมือนผู้นี้ ผู้นี้.
บทว่า คุณานิ จ ตานิ ก็คือ คุณา จ เต ความว่า พระคุณทั้งหลาย มีพระสัพพัญญุตญาณเป็นต้น
ท่านกล่าวเป็นลิงควิปลาส
คำที่เหลือทุกแห่ง ความง่ายทั้งนั้นแล.
จบพรรณนาวงศ์พระสุชาตพุทธเจ้า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 509

34


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 477


๑๑. วงศ์พระสุเมธพุทธเจ้าที่ ๑๑
ว่าด้วยพระประวัติของพระสุเมธพุทธเจ้า

[๑๒] ต่อจาก สมัยของพระปทุมุตตรพุทธเจ้า

พระชินพุทธเจ้า พระนามว่า สุเมธะ
เป็นผู้นำโลก ผู้อันเขาเข้าเฝ้าได้ยาก มีพระเดชยิ่ง สูงสุดแห่งโลกทั้งปวง.
พระองค์มีพระเนตรผ่องใส พระพักตร์งาม พระวรกายใหญ่ ตรง สดใส
ทรงแสวงประโยชน์แก่สรรพสัตว์ ทรงเปลื้องคนเป็นอันมากให้พ้นจากเครื่องผูก.
ครั้งพระพุทธเจ้า บรรลุพระโพธิญาณ อันสูงสุดสิ้นเชิง
ทรงประกาศพระธรรมจักร ณ กรุงสุทัสสนะ.
ในการแสดงธรรม แม้พระองค์ก็มีอภิสมัย ๓ ครั้ง
อภิสมัยครั้งที่ ๑ ได้มีแก่สัตว์ แสนโกฏิ.
ต่อมาอีก พระชินพุทธเจ้า ทรงทรมานยักษ์ชื่อว่า กุมภกรรณ
อภิสมัยครั้งที่ ๒ ได้มีแก่สัตว์เก้าหมื่นโกฏิ.
ต่อมาอีก พระผู้มีพระยศบริวาร หาประมาณมิได้
ทรงประกาศสัจจะ ๔ อภิสมัยครั้งที่ ๓ ได้มีแก่ สัตว์แปดหมื่นโกฏิ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 478
[/color]พระสุเมธพุทธเจ้า ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่
ทรงมีสันนิบาต ประชุมพระสาวก ผู้เป็นพระขีณาสพไร้มลทินมีจิตสงบคงที่ ๓ ครั้ง.
ครั้งพระชินพุทธเจ้า เสด็จเข้าไปในกรุงสุทัสสนะ
พระภิกษุขีณาสพร้อยโกฏิประชุมกัน.
ต่อมาอีก
เมื่อภิกษุทั้งหลาย กรานกฐินที่ภูเขาเทวกูฏ
ภิกษุเก้าสิบโกฏิประชุมกัน เป็นสันนิบาตครั้งที่๒.
ต่อมาอีก
ครั้งพระทศพลเสด็จจาริกไป ภิกษุแปดสิบโกฏิประชุมกัน เป็นสันนิบาตครั้งที่ ๓.

ครั้งนั้น เราเป็นมาณพ ชื่อ อุตตระ
เราสั่งสมทรัพย์ในเรือนแปดสิบโกฏิ.
เราถวายทรัพย์เสียทั้งหมดสิ้น แด่พระผู้นำโลกพร้อมทั้งพระสงฆ์ ถึงพระองค์เป็นสรณะ
ชอบใจการบวชอย่างยิ่ง.

ครั้งนั้น แม้พระพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เมื่อทรงทำอนุโมทนา ก็ทรงพยากรณ์เราว่า จักเป็นพระพุทธเจ้า เมื่อล่วงไปสามหมื่นกัป.
พระตถาคต ออกอภิเนษกรมณ์จากกรุงกบิลพัสดุ์อันน่ารื่นรมย์
ทรงตั้งความเพียรทำทุกกรกิริยา.
พระตถาคตประทับนั่ง ณ โคนต้นอชปาลนิโครธ
รับข้าวมธุปายาสในที่นั้น เข้าไปยังแม่น้ำเนรัญชรา.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 479
พระชินเจ้าพระองค์นั้น เสวยข้าวมธุปายาสที่ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญูชรา
เสด็จไปตามทางอันดีที่เขาจัดแต่งไว้ ไปที่โคนโพธิพฤกษ์.

แต่นั้น พระผู้มียศใหญ่
ทรงทำประทักษิณโพธิมัณฑสถานอันยอดเยี่ยม
ตรัสรู้ ณ โคนโพธิพฤกษ์ชื่อต้นอัสสัตถะ.

ท่านผู้นี้จักมีพระชนนี พระนามว่า พระนางมายา
พระชนก พระนามว่า พระเจ้าสุทโธทนะ
ท่านผู้นี้จักมีพระนามว่าโคตมะ.
จักมีพระอัครสาวก ชื่อว่า พระโกลิตะ และพระอุปติสสะ
ผู้ไม่มีอาสวะปราศจากราคะ มีจิตสงบ ตั้งมั่น
พระพุทธอุปัฏฐากชื่อพระอานันทะ จักบำรุงพระชินเจ้าผู้นี้.
จักมีพระอัครสาวิกา ชื่อว่า พระเขมา และพระอุบลวรรณา
ผู้ไม่มีอาสวะ ปราศจากราคะ มีจิตสงบตั้งมั่น
โพธิพฤกษ์ของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น เรียกว่า ต้นอัสสัตถะ.
จักมีอัครอุปัฏฐาก ชื่อว่าจิตตะ และหัตถกะอาฬวกะ
อัครอุปัฏฐายิกา ชื่อว่า นันทมาตา และอุตตรา
พระโคดมผู้มีพระยศ จักมีพระชนมายุ ๑๐๐ ปี.

มนุษย์และเทวดาทั้งหลาย ฟังพระดำรัสนี้ของพระพุทธเจ้า
ผู้ไม่มีผู้เสมอ ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่แล้ว
ก็พากันปลาบปลื้มใจว่า ท่านผู้นี้เป็นหน่อพุทธางกูร.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 480
หมื่นโลกธาตุ ทั้งเทวโลก พากันส่งเสียงโห่ร้องปรบมือ หัวร่อร่าเริง
ประคองอัญชลีนมัสการ กล่าวว่าผิว่า พวกเราจักพลาดคำสั่งสอน [ศาสนา]
ของพระโลกนาถพระองค์นี้ไซร้ ในอนาคตกาลพวกเราก็จักอยู่ต่อหน้าของท่านผู้นี้.
มนุษย์ทั้งหลาย เมื่อจะข้ามแม่น้ำ พลาดท่าน้ำข้างหน้า ก็ถือเอาท่าน้ำข้างหลังข้ามแม่น้ำใหญ่ ฉันใด.
พวกเราทั้งหมด ผิว่า ผ่านพ้นพระชินพุทธเจ้าพระองค์นี้ไซร้
ในอนาคตกาล พวกเราก็จักอยู่ต่อหน้าของท่านผู้นี้ฉันนั้นเหมือนกัน.
เราฟังพระดำรัสของพระองค์แล้ว จิตก็ยิ่งเลื่อมใส
จึงอธิษฐานข้อวัตรยิ่งยวดขึ้นไป เพื่อบำเพ็ญบารมี ๑๐ ให้บริบูรณ์.
เราเล่าเรียนพระสูตร พระวินัย และนวังคสัตถุศาสน์ทุกอย่าง
ทำศาสนาของพระชินพุทธเจ้าให้งาม.
เราไม่ประมาทในพระศาสนานั้น
อยู่แต่ในอิริยาบถนั่งยืนและเดิน ถึงฝั่งแห่งอภิญญา ก็ไปสู่พรหมโลก

พระสุเมธพุทธเจ้า ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่
ทรงมีพระนครชื่อว่า สุทัสสนะ
พระชนกพระนามว่า พระเจ้าสุทัตตะ
พระชนนีพระนามว่า พระนางสุทัตตา.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 481
พระองค์ทรงครองฆราวาสวิสัยอยู่ เก้าพันปี
มีปราสาทชั้นยอด ๓ หลัง ชื่อว่า สุจันทะ กัญจนะ และสิริวัฑฒะ
มีพระสนมนารีที่ประดับกายงาม สี่หมื่นแปดพันนาง
มีพระอัครมเหสี พระนามว่า พระนางสุมนา
พระโอรสพระนามว่า ปุนัพพะ.
พระชินพุทธเจ้า ทรงเห็นนิมิต ๔
เสด็จออกอภิเนษกรมณ์ด้วยยานคือ ช้าง
ทรงตั้งความเพียร ๘ เดือนเต็ม.

พระมหาวีระสุเมธะ ผู้นำโลก ผู้สงบอันท้าว
มหาพรหมอาราธนาแล้ว ทรงประกาศพระธรรมจักร
ณ สุทัสสนราชอุทยานอันสูงสุด.

พระสุเมธพุทธเจ้า ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่
มีพระอัครสาวกชื่อว่า พระสรณะ พระสัพพกามะ
พระพุทธอุปัฏฐากชื่อว่า พระสาคระ.
มีพระอัครสาวิกา ชื่อว่า พระรามา และ พระสุรามา
โพธิพฤกษ์ของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น เรียกว่า ต้นนิมพะคือ ต้นสะเดา.
อัครอุปัฏฐาก ชื่อว่า อุรุเวลา และยสวา
อัครอุปัฏฐายิกา ชื่อว่า ยสา และสิริวา.
พระมหามุนี สูง ๘๘ ศอก
ส่องสว่างทุกทิศเหมือนดวงจันทร์ ส่องสว่างเห็นหมู่ดาวฉะนั้น.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 482
ธรรมดามณีรัตนะของพระเจ้าจักรพรรดิ์ ย่อมสว่างไปโยชน์หนึ่ง ฉันใด
รัตนะคือ พระรัศมีของพระองค์ก็แผ่ไปโยชน์หนึ่งโดยรอบ ฉันนั้น.

ในยุคนั้น มนุษย์มีอายุเก้าหมื่นปี
พระองค์ทรงมีพระชนม์ยืนถึงเพียงนั้น
ย่อมยังหมู่ชนเป็นอันมากให้ข้ามโอฆสงสาร.

พระศาสนานี้ มากไปด้วยพระอรหันต์ทั้งหลาย
ผู้มีวิชชา ๓ มีอภิญญา ๖ ผู้ถึงกำลังฤทธิ์ คงที่.
พระอรหันต์แม้เหล่านั้น ผู้มีบริวารยศหาประมาณมิได้ ผู้หลุดพ้น ปราศจากอุปธิ
พระอรหันต์เหล่านั้น แสดงแสงสว่าง คือ ญาณแล้ว ต่างก็นิพพานกันหมด.
พระชินวรสุเมธพุทธเจ้า ดับขันธปรินิพพาน ณ พระวิหารเมธาราม
พระบรมสารีริกธาตุก็เฉลี่ยกระจายไปเป็นส่วนๆ ในประเทศนั้นๆ.
จบวงศ์พระสุเมธพุทธเจ้าที่ ๑๑

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 483

พรรณนาวงศ์พระสุเมธพุทธเจ้าที่ ๑๑
เมื่อพระปทุมุตตรสัมมาสัมพุทธเจ้า ดับขันธปรินิพพานแล้ว
ศาสนาของพระองค์ก็อันตรธานแล้ว
พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ไม่อุบัติเป็นเวลา เจ็ดหมื่นปี ว่างพระพุทธเจ้า ในกัปหนึ่ง
สุดท้ายสามหมื่นกัปนับแต่กัปนี้
มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบังเกิดสองพระองค์ คือ
พระสุเมธะ และ
พระสุชาตะ

ในสองพระองค์นั้น พระโพธิสัตว์นามว่า สุเมธะ ผู้บรรลุเมธาปัญญาแล้ว
บำเพ็ญบารมีทั้งหลาย บังเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต
จุติจากนั้นแล้ว ก็ถือปฏิสนธิในพระครรภ์ของพระนาง สุทัตตาเทวี
อัครมเหสี ของ พระเจ้าสุทัตตะ กรุงสุทัสสนะ
ถ้วนกำหนดทศมาส ก็ประสูติจากพระครรภ์พระชนนี ณ สุทัสสนราชอุทยาน
ประหนึ่งดวงทินกรอ่อนๆ ลอดหลืบเมฆ ฉะนั้น
พระองค์ครองฆราวาสวิสัย เก้าพันปี
เขาว่าทรงมีปราสาท ๓ หลัง ชื่อว่า สุจันทนะสุกัญจนะและสิริวัฒนะ
ปรากฏมีพระสนมนารีสามหมื่นแปดพันนาง มีพระนางสุมนามหาเทวีเป็นประมุข.

พระสุเมธกุมาร นั้น
เมื่อพระโอรสของพระนางสุมนาเทวี พระนามว่า ปุนัพพสุมิตตะ
ทรงสมภพ ทรงเห็นนิมิต ๔
เสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ด้วยยานคือ ม้า
ทรงผนวช มนุษย์ร้อยโกฏิก็บวชตาม
พระองค์อันมนุษย์เหล่านั้นแวดล้อมแล้ว ทรงทำความเพียร ๘ เดือน
ในวันวิสาขบูรณมีเสวยข้าวมธุปายาส ที่ ธิดานกุลเศรษฐี ณ นกุลนิคม ถวายแล้ว
ทรงยับยั้งพักกลางวัน ณ สาลวัน
ทรงรับหญ้า ๘ กำ ที่ สุวัฑฒอาชีวก ถวายแล้ว
ทรงลาดสันถัตหญ้า กว้าง ๒๐ ศอก ที่โคนโพธิพฤกษ์ ชื่อ นีปะ ต้นกะทุ่ม
ทรงกำจัดกองกำลังมาร พร้อมทั้งตัวมารแล้ว ทรงบรรลุพระอภิสัมโพธิญาณ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 484
ทรงเปล่งพระอุทานว่า อเนกชาติลํสารํ ฯ เป ฯ ตณฺหานํ ขยมชฺฌคา
ทรงยับยั้งใกล้ๆ โพธิพฤกษ์ ๗ สัปดาห์ ในสัปดาห์ที่ ๘
ทรงรับอาราธนาแสดงธรรมของท้าวมหาพรหม
ทรงตรวจดูภัพพบุคคล
ทรงเห็น สรณกุมารและสัพพกามีกุมาร
พระกนิษฐภาดาของพระองค์ และภิกษุที่บวชกับพระองค์ร้อยโกฏิ
เป็นผู้สามารถแทงตลอดธรรมคือ สัจจะ ๔ จึงเสด็จทางอากาศ
ทรงลงที่สุทัสสนะราชอุทยาน ใกล้กรุงสุทัสสนะ
โปรดให้พนักงานเฝ้าพระราชอุทยาน เรียกพระกนิษฐภาดามาแล้ว
ทรงประกาศพระธรรมจักร ท่ามกลางบริวารเหล่านั้น
ครั้งนั้น ธรรมาภิสมัยได้มีแก่ สัตว์แสนโกฏิ นี้เป็นอภิสมัยครั้งที่ ๑
ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
ต่อจากสมัยของพระปทุมุตตรพุทธเจ้า
มีพระพุทธเจ้าพระนามว่า สุเมธ ผู้นำ
ผู้ที่เข้าเฝ้ายาก มีพระเดชยิ่ง เป็นพระมุนี สูงสุดแห่งโลกทั้งปวง.

พระองค์มีพระเนตรผ่องใส พระพักตร์งามพระวรกายใหญ่ ตรง
สดใส ทรงแสวงประโยชน์แก่สรรพสัตว์ ทรงเปลื้องสัตว์เป็นอันมาก จากเครื่องผูก.

ครั้งพระพุทธเจ้าทรงบรรลุพระโพธิญาณ อันสูงสุดสิ้นเชิง
ทรงประกาศพระธรรมจักร ณ กรุงสุทัสสนะ.
อภิสมัยในการทรงแสดงธรรมแม้ของพระองค์ก็มี ๓ ครั้ง
อภิสมัยครั้งที่ ๑ ได้มีแก่สัตว์ แสนโกฏิ.
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น
บทว่า อุคฺคเตโช ได้แก่ มีพระเดชสูง.
บทว่า ปสนฺนเนตฺโต ได้แก่ มีพระนัยนาใสสนิท
พระเนตรใสเหมือนก้อนแก้วมณี ที่
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 485
เขาชำระขัดวางไว้ เพราะฉะนั้นพระองค์เขาจึงเรียกว่า ผู้มีพระเนตรใส
อธิบายว่า มีพระนัยนาประกอบด้วย ขนตาอันอ่อนน่ารักเขียวไร้มลทิน และละเอียด
จะกล่าวว่า สุปฺปสนฺนปญฺจนยโน มีพระจักษุ ๕ ผ่องใสดี ดังนี้ก็ควร.
บทว่า สุมุโข ได้แก่ มีพระพักตร์เสมือนดวงจันทร์เต็มดวงในฤดูสารท.

บทว่า พฺรหา ได้แก่ พรหาคือใหญ่
เพราะทรงมีพระสรีระขนาด ๘๘ ศอก
อธิบายว่า ขนาดพระสรีระไม่ทั่วไปกับคนอื่นๆ.

บทว่า อุชุ ได้แก่ มีพระองค์ตรงเหมือนพรหม คือ มีพระสรีระสูงตรงขึ้นนั่นเอง
อธิบายว่ามีพระวรกายเสมือนเสาระเนียดทอง ที่เขายกขึ้นกลางเทพนคร.
บทว่า ปตาปวา ได้มีพระสรีระรุ่งเรือง.
บทว่า หิเตสี แปลว่า แสวงหาประโยชน์เกื้อกูล.
บทว่า อภิสมยา ตีณิ ก็คือ อภิสมยา ตโย อภิสมัย ๓ ทำเป็นลิงควิปลาส.
ครั้งพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเข้ามหากรุณาสมาบัติตอนย่ำรุ่ง
ออกจากสมาบัตินั้นแล้ว ทรงตรวจดูโลก
ก็เห็นยักษ์กินคน ชื่อ กุมภกรรณ
มีอานุภาพเสมือน กุมภกรรณ ปรากฏเรือนร่างร้ายอยู่ปากดงใหญ่
คอยดักตัดการสัญจรทางเข้าดงอยู่ แต่ลำพังพระองค์ไม่มีสหาย
เสด็จเข้าไปยังภพของยักษ์ตนนั้น เข้าไปข้างใน ประทับนั่งบนที่ไสยาสน์อันมีสิริ
ลำดับนั้น
ยักษ์ตนนั้น ทนการลบหลู่ไม่ได้ ก็กริ้วโกรธเหมือนงูมีพิษร้ายแรง
ถูกตีด้วยไม้ ประสงค์จะขู่พระทศพลให้กลัว
จึงทำอัตภาพของตนให้ร้ายกาจ
ทำศีรษะเหมือนภูเขา
เนรมิตดวงตาทั้งสองเหมือนดวงอาทิตย์
ทำเขี้ยวคมยาวใหญ่อย่างกับหัวคันไถ
มีท้องเขียวใหญ่ยาน
มีแขนอย่างกะลำต้นตาล
มีจมูกแบนวิกลและคด
มีปากแดงใหญ่อย่างกะปล่องภูเขา
มีเส้นผมใหญ่เหลืองและหยาบ
มีแววตาน่ากลัวยิ่ง
มายืนอยู่เบื้องพระพักตร์ของพระผู้มีพระภาคเจ้าสุเมธะ
บังหวนควัน บันดาลเพลิงลุกโชน บันดาลฝน ๙ อย่าง คือ
ฝนแผ่นหิน
ภูเขา
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 486
เปลวไฟ
น้ำ
ตม
เถ้า
อาวุธถ่านเพลิงและฝนทราย ให้ตกลงมา
ไม่อาจให้พระผู้มีพระภาคเจ้าขับเขยื้อนแม้เท่าปลายขน
คิดว่า จำเราจักถามปัญหาแล้วฆ่าเสีย
แล้วถามปัญหาเหมือนอาฬวกยักษ์
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงนำยักษ์ตนนั้นเข้าสู่วินัย
ด้วยทรงพยากรณ์ปัญหา.
เขาว่า วันที่ ๒ จากวันนั้น พวกมนุษย์ชาวแคว้น
นำเอาราชกุมารพร้อมด้วยภัตตาหารที่บรรทุกมาเต็มเกวียน มอบให้ยักษ์ตนนั้น
ครั้งนั้น ยักษ์ได้ถวายพระราชกุมารแด่พระพุทธเจ้า
พวกมนุษย์ที่อยู่ประตูดง ก็เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า
ครั้งนั้น ในสมาคมนั้น พระทศพลเมื่อจะทรงแสดงธรรมอันเหมาะแก่ใจของยักษ์
ทรงยังธรรมจักษุให้เกิดแก่สัตว์เก้าหมื่นโกฏิ นั้นเป็นธรรมาภิสมัยครั้งที่ ๒

ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
วันรุ่งขึ้น พระชินพุทธเจ้าพระองค์นั้นทรงทรมาน ยักษ์กุมภกรรณ
อภิสมัยครั้งที่ ๒ ได้มีแก่ สัตว์ เก้าหมื่นโกฏิ.
ครั้งที่ทรงประกาศสัจจะ ๔ ณ สิรินันทราช อุทยาน อุปการีนคร
ธรรมาภิสมัยครั้งที่ ๓ ได้มีแก่สัตว์ แปดหมื่นโกฏิ

ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
ต่อมาอีก
พระผู้มีพระยศหาประมาณมิได้ ก็ทรงประกาศสัจจะ ๔
อภิสมัยครั้งที่ ๓ ได้มีแก่ สัตว์แปดหมื่นโกฏิ.
แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าสุเมธะ ก็ทรงมีสาวกสันนิบาต ๓ ครั้ง
ในสันนิบาตครั้งที่ ๑ ณ กรุงสุทัสสนะ มีพระขีณาสพร้อยโกฏิ
ในสันนิบาตครั้งที่ ๒ เมื่อพวกภิกษุกรานกฐิน ณ ภูเขาเทวกูฏ มีพระอรหันต์เก้าสิบโกฏิ
ในสันนิบาตครั้งที่ ๓ เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จจาริก มีพระอรหันต์แปดสิบโกฏิ
ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 487

พระสุเมธพุทธเจ้า ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่
มีสันนิบาตประชุมสาวกขีณาสพ ผู้ไร้มลทิน มีจิตสงบคงที่ ๓ ครั้ง.
ครั้งพระชินพุทธเจ้าเสด็จเข้าไปยังกรุงสุทัสสนะ ภิกษุขีณาสพร้อยโกฏิ ประชุมกัน.
ต่อมา ครั้งภิกษุทั้งหลายช่วยกันกรานกฐิน ณ ภูเขาเทวกูฎ พระขีณาสพเก้าสิบโกฏิ
ประชุมกัน เป็นสันนิบาตครั้งที่ ๒.
ต่อมา ครั้งพระทศพลเสด็จจาริกไป พระขีณาสพแปดสิบโกฏิ
ประชุมกัน เป็นสันนิบาตครั้งที่ ๓.

ครั้งนั้น
พระโพธิสัตว์ของเราเป็นมาณพที่เป็นยอดของคนทั้งปวง ชื่อ อุตตระ
สละทรัพย์แปดสิบโกฏิ ที่ฝังเก็บไว้
ถวายมหาทานแด่พระสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน
ฟังธรรมของพระทศพลในครั้งนั้น ก็ตั้งอยู่ในสรณะ แล้วออกบวช
พระศาสดาแม้พระองค์นั้น เมื่อทรงทำอนุโมทนาโภชนทาน
ก็ทรงพยากรณ์พระโพธิสัตว์นั้นว่า
ในอนาคตกาล จักเป็นพระพุทธเจ้าพระนามว่า โคตมะ.
ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
สมัยนั้น เราเป็นมาณพชื่ออุตตระ เราสั่งสมทรัพย์ไว้ในเรือนแปดสิบโกฏิ.
เราถวายทรัพย์ทั้งหมดสิ้น แด่พระผู้นำโลกพร้อมทั้งพระสงฆ์ ถึงพระองค์เป็นสรณะ
และเราชอบใจการบวชอย่างยิ่ง.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 488
พระพุทธเจ้าพระองค์นั้น เมื่อทรงทำอนุโมทนาทรงพยากรณ์เราว่า
ท่านผู้นี้จักเป็นพระพุทธเจ้า เมื่อล่วงไปสามหมื่นกัป.
พระตถาคต ทรงตั้งความเพียร ฯ ล ฯ จักอยู่ต่อหน้าของท่านผู้นี้.
พึงทำคาถาพยากรณ์ให้พิศดาร
เราฟังพระดำรัสของพระองค์แล้ว จิตก็ยิ่งเลื่อม
ใสจึงอธิษฐานข้อวัตรยิ่งยวดขึ้นไป เพื่อบำเพ็ญบารมี ๑๐ ให้บริบูรณ์.
เราเล่าเรียนพระสูตรพระวินัย และนวังคสัตถุศาสน์ทุกอย่าง
ยังศาสนาของพระชินพุทธเจ้าให้งาม.
เราไม่ประมาทในพระศาสนานั้น.
อยู่แต่ในอิริยาบถ นั่ง ยืน และเดิน ก็ถึงฝั่งแห่งอภิญญา เข้าถึงพรหมโลก.
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น
บทว่า สนฺนิจิตํ ได้แก่ เก็บไว้โดยการฝัง.
บทว่า เกวลํ แปลว่า ทั้งสิ้น.
บทว่า สพฺพํ ได้แก่ ให้ไม่เหลือเลย.
บทว่า สสงฺเฆ ก็คือ พร้อมกับพระสงฆ์.
บทว่า ตสฺสูปคญฺฉึ ก็คือ ตํ อุปคญฺฉึฉัฏฐีวิภัตติลงในอรรถทุติยาวิภัตติ.
บทว่า อภิโรจยึ ได้แก่ บวช.
บทว่า ตึสกปฺปสหสฺสมฺหิ ความว่า เมื่อสามหมื่นกัปล่วงแล้ว.

พระผู้มีพระภาคเจ้า สุเมธะ
ทรงมีพระนครชื่อว่า สุทัสสนะ
พระชนกพระนามว่า พระเจ้าสุทัตตะ
พระชนนี พระนามว่า พระนางสุทัตตา
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 489

คู่พระอัครสาวกชื่อว่า พระสรณะ และ พระสัพพกามะ
พระพุทธอุปัฏฐากชื่อ พระสาคระ
คู่พระอัครสาวิกา ชื่อ พระรามา พระสุรามา
โพธิพฤกษ์ ชื่อ มหานีปะ คือ ต้นกะทุ่มใหญ่
พระสรีระสูง ๘๘ ศอก
พระชนมายุเก้าหมื่นปี

ทรงครองฆราวาสวิสัยเก้าพันปี
พระอัครมเหสีพระนามว่า พระนาง สุมนา
พระโอรสพระนามว่า ปุนัพพสุมิตตะ
ออกอภิเนษกรมณ์ด้วยยาน คือช้าง.
คำที่เหลือปรากฏในคาถาทั้งหลาย
ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
พระสุเมธพุทธเจ้า ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่
ทรงมีพระนครชื่อว่า สุทัสสนะ
พระชนกพระนามว่า พระเจ้าสุทัตตะ
พระชนนีพระนามว่า พระนางสุทัตตา.
พระสุเมธพุทธเจ้า ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่
พระอัครสาวก ชื่อว่า พระสรณะ พระสัพพกามะ
พระพุทธอุปัฏฐาก ชื่อว่า พระสาคระ.
พระอัครสาวิกา ชื่อว่าพระรามา พระสุรามา
โพธิพฤกษ์ของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น เรียกว่า ต้นมหานีปะ คือต้นกะทุ่มใหญ่.
พระมหามุนี สูง ๘๘ ศอก
ทรงส่องสว่างทั่วทุกทิศ เหมือนดวงจันทร์ส่องสว่างในหมู่ดาว ฉะนั้น.
ธรรมดามณีรัตนะของพระเจ้าจักรพรรดิ ย่อมส่องสว่างไปได้โยชน์หนึ่ง ฉันใด
รัตนะคือพระรัศมีของพระสุเมธพุทธเจ้าพระองค์นั้น ก็แผ่ไปโยชน์หนึ่งโดยรอบ ฉันนั้นเหมือนกัน.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 490

ในยุคนั้น มนุษย์มีอายุเก้าหมื่นปี
พระองค์มีพระชนม์ยืนถึงเพียงนั้น ย่อมยังหมู่ชนเป็นอันมากให้ข้ามโอฆสงสาร.
พระศาสนานี้ เกลื่อนกล่นด้วยพระอรหันต์ ผู้มีวิชชา ๓ มีอภิญญา ๖ ผู้ถึงกำลังคงที่ดี.
พระอรหันต์เหล่านั้นทั้งหมด มียศที่หาประมาณมิได้ หลุดพ้น ปราศจากอุปธิ
ท่านผู้มียศใหญ่เหล่านั้นแสดงแสงสว่างคือญาณแล้ว ต่างก็นิพพานไป.
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น
บทว่า จนฺโท ตาราคเณ ยถา ความว่า จันทร์เพ็ญในท้องฟ้า
ย่อมส่องหมู่ดาวให้สว่าง ให้ปรากฏ ฉันใด
พระสุเมธพุทธเจ้า ก็ทรงส่องทุกทิศให้สว่าง ฉันนั้นเหมือนกัน.
อาจารย์บางพวกกล่าวว่า
จนฺโท ปณฺณรโส ยถา ดังนี้ก็มี. ปาฐะนั้น ความง่ายเหมือนกัน.
บทว่า จกฺกวตฺติมณี นาม ความว่า มณีรัตนะของพระเจ้าจักรพรรดิ์ ยาว ๔ ศอก
ใหญ่เท่ากับดุมเกวียน มีมณีแปดหมื่นสี่พันเป็นบริวาร
มาถึงมณีรัตนะที่ดูน่ารื่นรมย์อย่างยิ่งจากเวปุลลบรรพต
ดุจเรียกเอาความงามที่เกิดจากสิริของรัชนีกรเต็มดวงในฤดูสารทอันหมู่ดาวแวดล้อมแล้ว
รัศมีของมณีรัตนะนั้นที่มาอย่างนั้น ย่อมแผ่ไปตลอดโอกาสประมาณโยชน์หนึ่งโดยรอบ ฉันใด
รัตนะ คือ พระรัศมีก็แผ่ไปโยชน์หนึ่ง โดยรอบ
จากพระสรีระของพระผู้มีพระภาคเจ้า ฉันนั้นเหมือนกัน.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 491
บทว่า เตวิชฺชฉฬภิญฺเญหิ ความว่า ผู้มีวิชชา ๓ และอภิญญา ๖.
บทว่า พลปฺปตฺเตหิ ได้แก่ ผู้ถึงกำลังแห่งฤทธิ์.
บทว่า ตาทิหิ ได้แก่ ผู้ถึงความเป็นผู้คงที่.
บทว่า สมากุลํ ได้แก่ เกลื่อนกล่น คือ รุ่งเรืองด้วยผ้ากาสาวะอย่างเดียวกัน.
ท่านกล่าวว่า อิทํ หมายถึง พระศาสนาหรือพื้นแผ่นดิน.
บทว่า อมิตยสา ได้แก่ ผู้มีบริวารหาประมาณมิได้ หรือผู้มีเกียรติก้องที่ชั่งไม่ได้.
บทว่า นิรูปธี ได้แก่ เว้นจากอุปธิ ๔.
คำที่เหลือในคาถาทั้งหลายในที่นี้ทุกแห่ง ชัดแล้วทั้งนั้นแล.
จบพรรณนาวงศ์พระสุเมธพุทธเจ้า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 492

[/b][/color]

35
ภาพการทำงานพัฒนาสถานีตำรวจภูธรน้ำหนาว ของอาจารย์เกษม เจ้าหน้าที่และครอบครัว วันที่ 19 สิงหาคม 2567






















36
ภาพการทำงานพัฒนาสถานีตำรวจภูธรน้ำหนาว ของอาจารย์เกษม เจ้าหน้าที่และครอบครัว วันที่ 17,18 สิงหาคม 2567

























38
ภาพการทำงานพัฒนาสถานีตำรวจภูธรน้ำหนาว ของอาจารย์เกษม เจ้าหน้าที่และครอบครัว วันที่ 9,11 สิงหาคม 2567



































39
ภาพการทำงานพัฒนาสถานีตำรวจภูธรน้ำหนาว ของอาจารย์เกษม เจ้าหน้าที่และครอบครัว วันที่ 6,8 สิงหาคม 2567























40
ภาพการทำงานพัฒนาสถานีตำรวจภูธรน้ำหนาว ของอาจารย์เกษม เจ้าหน้าที่และครอบครัว วันที่ 4 สิงหาคม 2567
















หน้า: 1 2 3 [4] 5 6 ... 10