กระทู้เมื่อเร็วๆ นี้
กระดานสนทนาธรรม

ที่พักสงฆ์ป่าสามแยก บ้านห้วยยางทอง ต.วังกวาง อ.น้ำหนาว จ.เพชรบูรณ์ 67260


กระทู้เมื่อเร็วๆ นี้

หน้า: 1 ... 5 6 [7] 8 9 10
61
ภาพการทำงานพัฒนาสถานีตำรวจภูธรน้ำหนาว ของอาจารย์เกษม เจ้าหน้าที่และครอบครัว วันที่ 4 สิงหาคม 2567
















62
ภาพการทำงานพัฒนาสถานีตำรวจภูธรน้ำหนาว ของอาจารย์เกษม เจ้าหน้าที่และครอบครัว วันที่ 30,31 กรกฎาคม 2567

















63
ภาพการทำงานพัฒนาสถานีตำรวจภูธรน้ำหนาว ของอาจารย์เกษม เจ้าหน้าที่และครอบครัว วันที่ 27,28,29 กรกฎาคม 2567



















64



พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 458
๑๐. วงศ์พระปทุมุตตรพุทธเจ้าที่ ๑๐
ว่าด้วยพระประวัติของปทุมุตตรพุทธเจ้า

[๑๑] ต่อจาก สมัยของพระนารทพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้า พระนามว่า ปทุมุตตระ ผู้เป็นยอดแห่ง
สัตว์สองเท้า พระชินะผู้ไม่กระเพื่อม เปรียบดังสาคร.
พระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติในกัปใด กัปนั้น ชื่อว่า
มัณฑกัป หมู่ชนที่สั่งสมกุศลไว้ ก็ได้เกิดในกัปนั้น.
ในการแสดงธรรมครั้งที่ ๑ ของพระผู้มีพระภาคเจ้าปทุมุตตระ
ธรรมาภิสมัยได้มีแก่ สัตว์แสนโกฏิ.
แม้ต่อจากนั้น เมื่อพระองค์ทรงหลั่งฝนคือธรรมยังสัตว์ทั้งหลายให้เอิบอิ่ม
อภิสมัยครั้งที่ ๒ ก็ได้มีแก่ สัตว์สามหมื่นเจ็ดพัน.
ครั้งพระมหาวีระ เข้าเฝ้าพระเจ้าอานันทะ เสด็จเข้าไปใกล้พระชนก ทรงลั่นอมตเภรี.
เมื่อทรงลั่นอมตเภรี ทรงหลั่งฝนคือธรรม
อภิสมัยครั้งที่ ๓ ก็ได้มีแก่ สัตว์ห้าล้าน.
พระพุทธเจ้าผู้ฉลาดในเทศนา ทรงโอวาทให้สัตว์รู้ ยังสัตว์ทั้งปวงให้ข้ามโอฆสงสาร
ทรงยังหมู่ชนเป็นอันมากให้ข้ามโอฆสงสาร.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 459
พระปทุมุตตรศาสดา ทรงมีสันนิบาตประชุมสาวก ๓ ครั้ง
สาวกแสนโกฏิประชุมกัน เป็นสันนิบาตครั้งที่ ๑.
ครั้งพระพุทธเจ้าผู้เสมอด้วยพระพุทธเจ้า ผู้ไม่มีผู้เสมอ
จำพรรษา ณ เวภารบรรพต สาวกเก้าหมื่นโกฏิประชุมกัน เป็นสันนิบาตครั้งที่ ๒.
เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จจาริกไปอีก ผู้ออกจากคาม
นิคมและรัฐ บวชเป็นสาวกแปดหมื่นโกฏิประชุมกันเป็นสันนิบาตครั้งที่ ๓.
สมัยนั้น เราเป็นผู้ครองรัฐชื่อ ชฎิล ได้ถวายภัตตาหารพร้อมทั้งผ้า
แด่พระสงฆ์มีพระสัมพุทธเจ้าเป็นประธาน.

พระพุทธเจ้าแม้พระองค์นั้น ประทับนั่งท่ามกลางสงฆ์
ทรงพยากรณ์เราว่าจักเป็นพระพุทธเจ้า ในแสนกัปนับแต่กัปนี้ไป.
พระตถาคต ออกอภิเนษกรมณ์จากกรุงกบิลพัศดุ์
ที่น่ารื่นรมย์ ตั้งความเพียรทำทุกกรกิริยา.
พระตถาคต ประทับนั่ง ณ โคนต้นอชปาลนิโครธ
ทรงรับข้าวมธุปายาส ณ ที่นั้นแล้วเสด็จไปยังแม่น้ำเนรัญชรา.
พระชินเจ้าพระองค์นั้น เสวยข้าวมธุปายาสที่ริม
ฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา เสด็จดำเนินตามทางอันดีที่เขาจัดแต่งไว้ ไปที่โคนโพธิพฤกษ์.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 460
แต่นั้น พระผู้มีพระยศใหญ่ ทรงทำประทักษิณ
โพธิมัณฑสถานอันยอดเยี่ยม ตรัสรู้ ณ โคนโพธิพฤกษ์ ชื่อต้น อัสสัตถะ.

ท่านผู้นี้ จักมีพระชนนี พระนามว่า พระนาง มายา
พระชนก พระนามว่า พระเจ้าสุทโธทนะ
ท่านผู้นี้จักมีพระนามว่า โคตมะ.
พระอัครสาวกชื่อพระโกลิตะ และพระอุปติสสะ
ผู้ไม่มีอาสวะ ปราศจากราคะ มีจิตสงบตั้งมั่น
พระพุทธอุปัฏฐากชื่อ พระอานันทะ จักบำรุงพระชินเจ้าผู้นี้.
พระอัครสาวิกา ชื่อพระเขมา และ พระอุบลวรรณา
ผู้ไม่มีอาสวะปราศจากราคะ มีจิตสงบตั้งมั่น
โพธิพฤกษ์ของพระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์นั้น เรียกว่าต้นอัสสัตถะ.
อัครอุปัฏฐาก ชื่อจิตตะ และหัตถกะอาฬวกะ
อัครอุปัฏฐายิกา ชื่อนันทมาตา และอุตตรา.
พระโคดมผู้มีพระยศ พระองค์จักมีพระชนมายุ ๑๐๐ ปี.
มนุษย์และเทวดาทั้งหลาย ฟังพระดำรัสนี้ของพระผู้ไม่มีผู้เสมอ
ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่แล้ว ก็ปลาบปลื้มใจว่า ท่านผู้นี้เป็นหน่อพุทธางกูร.
หมื่นโลกธาตุ ทั้งเทวโลก ก็พากันโห่ร้อง ปรบมือ หัวร่อร่าเริง ประคองอัญชลีนมัสการกล่าวว่า.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 461
ผิว่า พวกเราพลาดคำสั่งสอนของพระโลกนาถ
พระองค์นี้ไซร้ ในอนาคตกาล พวกเรา ก็จักอยู่ต่อหน้าของท่านผู้นี้.
มนุษย์ทั้งหลาย เมื่อจะข้ามแม่น้ำ พลาดท่าน้ำ
ข้างหน้า ก็ถือเอาท่าน้ำข้างหลัง ข้ามแม่น้ำใหญ่ฉันใด.
พวกเราทั้งหมด ผิว่า ผ่านพ้นพระชินพุทธเจ้า
พระองค์นี้ไซร้ในอนาคตกาล พวกเราก็จักอยู่ต่อหน้าของท่านผู้นี้ ฉันนั้นเหมือนกัน.
เราฟังพระดำรัสแม้ของพระองค์แล้วอธิษฐานข้อ
วัตรยิ่งยวดขึ้นไป ได้ทำความเพียรมั่นคงอย่างยิ่ง เพื่อบำเพ็ญบารมี ๑๐ ให้บริบูรณ์.

ครั้งนั้น พวกเดียรถีย์ทั้งหมด มีใจผิดปกติ ใจเสีย
ถูกกำจัดความถือตัวและกระด้างแล้ว
บุรุษบางพวกของเดียรถีย์เหล่านั้น
ไม่ยอมบำรุงบำเรอก็ขับไล่เดียรถีย์เหล่านั้นออกไปจากรัฐ.
พวกเดียรถีย์ทั้งหมดประชุมกันในที่นั้น เข้าไปที่สำนักของพระพุทธเจ้า
ทูลวอนว่า ข้าแต่พระมหาวีระขอพระองค์โปรดเป็นสรณะ ด้วยเถิด.
พระปทุมุตตรพุทธเจ้า ผู้เอ็นดู มีพระกรุณาแสวงประโยชน์แก่สัตว์ทั้งปวง
ทรงตั้งเดียรถีย์ที่ประชุมกันทั้งหมด ไว้ในศีล ๕.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 462
ศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ไม่วุ่นวายอย่างนี้
ว่างเปล่าจากเดียรถีย์ทั้งหลายงดงามด้วย
พระอรหันต์ทั้งหลาย ผู้ชำนาญคงที่.

พระปทุมุตตรศาสดา
ทรงมีพระนครชื่อหังสวดี
พระชนกพระนามว่า พระเจ้าอานันทะ
พระชนนีพระนามว่า พระนางสุชาดา.
พระองค์ครองฆราวาสวิสัยเก้าพันปี
ทรงมีปราสาทชั้นเยี่ยม ๓ หลัง ชื่อ นารี พาหนะ ยสวดี.
มีพระสนมนารี ที่แต่งกายงาม จำนวนสี่หมื่น
สามพันนาง มีพระอัครมเหสีพระนามว่า
พระนางวสุลทัตตา พระโอรสพระนามว่า พระอุตตระ.
พระผู้เป็นยอดบุรุษ ทรงเห็นนิมิต ๔ เสด็จออก
อภิเนษกรมณ์ด้วยปราสาท ทรงตั้งความเพียร ๗ วัน.

พระมหาวีระ ปทุมุตตระ ผู้นำพิเศษ
ผู้สงบ อันท้าวมหาพรหมอาราธนาแล้ว
ทรงประกาศพระธรรม ณ พระราชอุทยาน มิถิลาอันสูงสุด.

พระปทุมุตตรศาสดา
ทรงมีพระอัครสาวก ชื่อว่า พระเทวิละ และพระสุชาตะ
พระพุทธอุปัฏฐาก ชื่อว่า พระสุมนะ.
พระอัครสาวิกาชื่อว่าพระอมิตา และ พระอสมา
โพธิพฤกษ์เรียกว่า ต้นสลละต้นช้างน้าว.
อัครอุปัฏฐากชื่อว่า อมิตะ และติสสะ อัครอุปัฏฐายิกาชื่อว่า หัตถา และ สุจิตตา.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 463
พระมหามุนี สูง ๕๘ ศอก
พระลักษณะประเสริฐ ๓๒ ประการ เช่นเดียวกับรูปปฏิมาทอง.
พระรัศมีแห่งพระสรีระ แผ่ไป ๑๒ โยชน์ โดยรอบ
ยอดเรือน บานประตู ฝา ต้นไม้ กองศิลา คือ ภูเขา ปิดกั้นพระรัศมีนั้นไม่ได้.

ในยุคนั้น มนุษย์มีอายุแสนปี
พระปทุมุตตรพุทธเจ้า พระองค์นั้น ทรงมีพระชนม์ยืนถึงเพียงนั้น
ย่อมยังหมู่ชนเป็นอันมากให้ข้ามโอฆสงสาร.
พระองค์ทั้งพระสาวก ยังชนเป็นอันมากให้ข้าม
แล้ว ตัดความสงสัยทุกอย่าง ก็ดับขันธปรินิพพาน
เหมือนกองไฟลุกโพลงแล้ว ก็ดับไปฉะนั้น.
พระปทุมุตตรชินพุทธเจ้า ปรินิพพาน ณ พระวิหารนันทาราม
พระสถูปอันประเสริฐของพระองค์ ณ ที่นั้น สูง ๑๒ โยชน์.
จบวงศ์พระปทุมุตตรพุทธเจ้าที่ ๙
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 464
พรรณนาวงศ์พระปทุมุตตรพุทธเจ้าที่ ๑๐
พระศาสนาของพระนารทพุทธเจ้าเป็นไปได้เก้าหมื่นปี ก็อันตรธาน.
กัปนั้นก็พินาศไป ต่อจากนั้น พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ก็ไม่อุบัติในโลก
ตลอดอสงไขยแห่งกัปทั้งหลาย.
ว่างพระพุทธเจ้า มีแสงสว่างที่ปราศจากพระพุทธเจ้า.

แต่นั้น เมื่อกัปและอสงไขยทั้งหลายล่วงไป ๆ ในกัปหนึ่ง ที่สุดแสนกัปนับแต่กัปนี้
พระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง ทรงพิชิตมาร ปลงภาระ มีพระเมรุเป็นสาระ
ไม่มีสังสารวัฏ  มีสัตว์เป็นสาระ ยอดเยี่ยมเหนือโลกทั้งปวง
พระนามว่า ปทุมุตตระ ก็อุบัติขึ้นในโลก.

แม้พระองค์ก็ทรงบำเพ็ญบารมีทั้งหลายบังเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต
จุติจากดุสิตนั้นแล้ว ก็ถือปฏิสนธิในพระครรภ์ของพระนางสุชาดาเทวี
ผู้เกิดในสกุลที่มีชื่อเสียง อัครมเหสีของ พระเจ้าอานันทะ
ผู้ทำความบันเทิงจิตแก่ชนทั้งปวง กรุงหังสวดี.
พระนางสุชาดาเทวี นั้น อันทวยเทพอารักขาแล้ว ถ้วนกำหนดทศมาส
ก็ประสูติ พระปทุมุตตรกุมาร ณ พระราชอุทยานหังสวดี.
ในสมัยปฏิสนธิ และสมภพก็มีปาฏิหาริย์ ดังกล่าวแล้วแต่หนหลัง.

ดังได้สดับมา
ในสมัยพระราชกุมารพระองค์นั้น ทรงสมภพ ฝนดอกปทุมก็ตกลงมา.
ด้วยเหตุนั้น ในวันเฉลิมพระนามพระกุมาร
พระประยูรญาติทั้งหลายจึงเฉลิมพระนามว่า ปทุมุตตรกุมาร.
พระกุมารพระองค์นั้นทรงครองฆราวาสวิสัยหมื่นปี.
พระองค์มีปราสาท ๓ หลังเหมาะแก่ฤดูทั้งสาม ชื่อ นรวาหนะ ยสวาหนะ และ วสวัตดี
มีพระสนมนารีแสนสองหมื่นนาง
มีพระนางวสุทัตตาเทวี เป็นประมุข
 เมื่อ พระอุตตรกุมาร ผู้ยอดเยี่ยมด้วยพระคุณทุกอย่าง
พระโอรสของพระนางวสุทัตตาเทวีทรงสมภพแล้ว
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 465
พระองค์ก็ทรงเห็นนิมิต ๔ ทรงพระดำริจักเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์
พอทรงพระดำริเท่านั้นปราสาทที่ชื่อว่า วสวัตดี ก็ลอยขึ้นสู่อากาศ
เหมือนจักรของช่างหม้อไปทางท้องอัมพร เหมือนเทพวิมาน และเหมือนดวงจันทร์เพ็ญ
ทำโพธิพฤกษ์ไว้ตรงกลางลงที่พื้นดิน เหมือนปราสาทที่กล่าวแล้ว
ในการพรรณนาวงศ์ของพระโสภิตพุทธเจ้า.

ได้ยินว่า
พระมหาบุรุษเสด็จลงจากปราสาทนั้น ทรงห่มผ้ากาสายะ
อันเป็นธงชัยแห่งพระอรหันต์ ซึ่งเทวดาถวาย ทรงผนวชในปราสาทนั้นนั่นเอง
ส่วนปราสาทกลับมาตั้งอยู่ในที่ตั้งเดิมของตน.
บริษัททุกคนที่ไปกับพระมหาสัตว์ พากันบวช เว้นพวกสตรี.
พระมหาบุรุษทรงบำเพ็ญเพียร ๗ วัน
พร้อมกับผู้บวชเหล่านั้น วันวิสาขบูรณมี เสวยข้าวมธุปายาส
ที่ ธิดารุจานันทเศรษฐี อุชเชนีนิคม ถวายแล้ว ทรงพักกลางวัน ณ สาลวัน
เวลาเย็นทรงรับหญ้า ๘ กำ ที่ สุมิตตะอาชีวก ถวาย
เสด็จเข้าไปยังโพธิพฤกษ์ ชื่อต้น สลละ ช้างน้าว
ทรงทำประทักษิณโพธิพฤกษ์นั้น ทรงลาดสันถัตหญ้ากว้าง ๓๘ ศอก
ทรงนั่งขัดสมาธิ อธิษฐานความเพียรมีองค์ ๔
ทรงกำจัดกองกำลังมารพร้อมทั้งตัวมาร
ยามที่ ๑ ทรงระลึกได้บุพเพนิวาส.
ยามที่ ๒ ทรงชำระทิพยจักษุให้บริสุทธิ์,
ยามที่ ๓ ทรงพิจารณาปัจจยาการออกจากจตุตถฌาน
มีอานาปานัสสติเป็นอารมณ์ แล้วหยั่งลงในขันธ์ ๕
ทรงเห็นลักษณะ ๕๐ ถ้วนด้วยสามารถแห่งความเกิดขึ้นแล้วเสื่อมไป
ทรงเจริญวิปัสสนาจนถึงโคตรภูญาณแทงตลอดพระพุทธคุณทั้งสิ้น ด้วยอริยมรรค
ทรงเปล่งพระอุทานที่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ประพฤติมาว่า
อเนกชาติสํสารํ ฯ เป ฯ ตณฺหานํ ขยมชฺฌคา.
ได้ทราบว่า ครั้งนั้น ฝนดอกปทุมตกลงมา ประหนึ่งประดับทั่วภายในทั้งหมื่นจักรวาล.

ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 466
ต่อจากสมัยของพระนารทพุทธเจ้า
พระสัมพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ ผู้เป็นยอดแห่งสัตว์สองเท้า
พระชินะผู้ไม่หวั่นไหว เปรียบดังสาครที่ไม่กระเพื่อมฉะนั้น.
พระพุทธเจ้าได้อุบัติในกัปใด กัปนั้นเป็นมัณฑกัป
หมู่ชนผู้สั่งสมกุศลไว้ ก็ได้เกิดในกัปนั้น.

แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น
บทว่า สาครูปโม ได้แก่ มีภาวะลึกล้ำเสมือนสาคร.
ในคำว่า มณฺฑกปฺโป วา โส อาสิ นี้
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๒ พระองค์อุบัติในกัปใด กัปนี้ชื่อว่า มัณฑกัป.

จริงอยู่
กัปมี ๒ คือ สุญญกัป และอสุญญกัป
บรรดากัปทั้งสองนั้น พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระเจ้าจักรพรรดิ
ย่อมไม่อุบัติในสุญญกัป เพราะฉะนั้นกัปนั้น จึงเรียกว่า สุญญกัป
เพราะว่างเปล่าจากบุคคลผู้ที่คุณ.

อสุญญกัปนี้ ๕ คือ
สารกัป
มัณฑกัป
วรกัป
สารมัณฑกัป
ภัททกัป.
ในอสุญญกัปนั้นกัปที่ประกอบด้วยสาระคือคุณ เรียกว่า สารกัป
เพราะปรากฏ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่พระองค์เดียว.
ผู้กำเนิดคุณสาร ยังคุณสารให้เกิดส่วนในกัปใด
เกิดพระพุทธเจ้า ๒ พระองค์ กัปนั้นเรียกว่า มัณฑกัป.

ในกัปใด เกิดพระพุทธเจ้า ๓ พระองค์
บรรดาพระพุทธเจ้าทั้ง ๓ พระองค์นั้น
พระองค์ที่ ๑ พยากรณ์พระองค์ที่ ๒
พระองค์ที่ ๒ พยากรณ์พระองค์ที่ ๓.
ในกัปนั้น มนุษย์ทั้งหลาย มีใจเบิกบาน ย่อมเลือก โดยปณิธานที่
คนปรารถนา เพราะฉะนั้น กัปนั้น จึงเรียกว่า วรกัป.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 467
ส่วนในกัปเกิดพระพุทธเจ้า ๔ พระองค์ กัปนั้นเรียกว่า สารมัณฑกัป
เพราะประเสริฐกว่า มีสาระกว่า กัปก่อน ๆ
ในกัปใดเกิดพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ กัปนั้นเรียกว่า ภัททกัป.
ก็ภัททกัปนั้น หาได้ยากยิ่ง.
ก็กัปนั้น โดยมาก สัตว์ทั้งหลาย เป็นผู้มากด้วยกัลยาณสุข.
โดยมาก ติเหตุกสัตว์ย่อมทำความสิ้นกิเลส ทุเหตุกสัตว์ย่อมถึงสุคติ.
อเหตุกสัตว์ ก็ได้เหตุ.
เพราะฉะนั้น กัปนั้น จึงเรียกว่า ภัททกัป.
ด้วยเหตุนั้น ข้าพเจ้าจึงกล่าวว่า อสุญญกัปมี ๕ เป็นต้น.

สมจริงดังที่พระโบราณาจารย์กล่าวไว้ว่า
เอโก พุทฺโธ สารกปฺเป มณฺฑกปฺเป ชินา ทุเว
วรกปฺเป ตโย พุทฺธา สารมณฺเฑ จตุโร พุทฺธา
ปญฺจ พุทฺธา ภทฺทกปฺเป ตโต นตฺถาธิกา ชินา.
ในสารกัป มีพระพุทธเจ้า ๑ พระองค์
ในมัณฑกัป มีพระพุทธเจ้า ๒ พระองค์
ในวรกัป มีพระพุทธเจ้า ๓ พระองค์
ในสารมัณฑกัป มีพระพุทธเจ้า ๔ พระองค์
ในภัททกัป มีพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์พระพุทธเจ้ามากกว่านั้นไม่มี ดังนี้.

ส่วนในกัปใด พระปทุมุตตรทศพลอุบัติ
กัปนั้นแม้เป็นสารกัป ท่านก็เรียกว่า มัณฑกัป
เพราะเป็นเช่นเดียวกับมัณฑกัป ด้วยคุณสมบัติ.
วาศัพท์พึงเห็นว่า ลงในอรรถอุปมา.
บทว่า อุสฺสนฺนกุสลา ได้แก่ ผู้สั่งสมบุญไว้.
บทว่า ชนตา ได้แก่ ชุมชนก็พระผู้มีพระภาคเจ้าปทุมุตตระ.
ผู้เป็นยอดบุรุษ ทรงยับยั้ง ณ โพธิบัลลังก์ ๗ วัน
ทรงย่างพระบาทเบื้องขวา ด้วยหมายพระหฤทัยว่า จะวางพระบาทลงที่แผ่นดิน.
ลำดับนั้น
ดอกบัวบกทั้งหลายมีเกสรและช่อละเอียดไร้มลทิน
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 468
มีใบดังเกิดในน้ำไม่หม่นหมองไม่บกพร่องแต่บริบูรณ์

ชำแรกแผ่นดินผุดขึ้นมา
บัวบกเหล่านั้นมีใบชิดกัน ๙๐ ศอก
เกสร ๓๐ ศอก
ช่อ ๑๒ ศอก
เรณูของดอกแต่ละดอกขนาดหม้อใหม่
ส่วนพระศาสดาสูง ๕๘ ศอก
ระหว่างพระพาหาสองข้างของพระองค์ ๑๘ ศอก
พระนลาต ๕ ศอก
พระหัตถ์และพระบาท ๑๑ ศอก.
พอพระองค์ทรงเหยียบช่อ ๑๒ ศอก
ด้วยพระบาท ๑๑ ศอก
เรณูขนาดหม้อใหม่ ก็ฟุ้งขึ้นกลบพระสรีระ ๕๘ ศอก
แล้วกลับท่วมทับ ทำให้เป็นเหมือนฝุ่นมโนศิลาป่นเป็นจุณ.

หมายเอาข้อนั้น
พระอาจารย์ผู้รจนาคัมภีรสังยุตตนิกายจึงกล่าวว่า
พระศาสดาปรากฏในโลกว่า พระปทุมุตตระ ดังนี้.

ลำดับนั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้าปทุมุตตระ ผู้ยอดเยี่ยมเหนือโลกทั้งปวง
ทรงรับอาราธนาของท้าวมหาพรหม
ทรงตรวจดูสัตว์ทั้งหลาย ผู้เป็นดังภาชนะรองรับพระธรรมเทศนา

ทรงเห็นพระราชโอรส ๒ พระองค์ คือ เทวละ และสุชาตะ กรุงมิถิลา ถึงพร้อมด้วยอุปนิสัย
ทันใดก็เสด็จโดยทางอากาศ ลงที่พระราชอุทยานกรุงมิถิลา
ใช้พนักงานเฝ้าพระราชอุทยานให้เรียกพระราชกุมารทั้งสองพระองค์มาแล้ว
ทั้งสองพระองค์นั้น ทรงดำริว่า พระปทุมุตตรกุมาร โอรสของพระเจ้าอาของเรา ทรงผนวช.
ทรงบรรลุ พระสัมมาสัมโพธิญาณเสด็จถึงนครของเรา
จำเราจักเข้าไปเฝ้าพระองค์พร้อมด้วยบริวาร
ก็เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าปทุมุตตระ นั่งแวดล้อม.

ครั้งนั้น พระทศพล อันพระราชกุมารและบริวารเหล่านั้นแวดล้อมแล้ว
ทรงรุ่งโรจน์ดุจจันทร์เพ็ญ อันหมู่ดาวแวดล้อมแล้ว
ทรงประกาศพระธรรมจักร ณ ที่นั้น.
ครั้งนั้น ธรรมาภิสมัยครั้งที่ ๑ ได้มีแก่สัตว์แสนโกฏิ.

ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
ในการแสดงธรรมครั้งที่ ๑ ของพระผู้มีพระภาคเจ้าปทุมุตตระ ธรรมาภิสมัยได้มีแก่สัตว์แสนโกฏิ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 469
สมัยต่อมา
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงยังมหาชนให้ร้อน ด้วยความร้อนในนรก
ทรงแสดงธรรมในสมาคมของสรทดาบส
ทรงยังหมู่สัตว์นับได้สามล้านเจ็ดแสน ให้ดื่มอมตธรรม

ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
ต่อจากนั้น เมื่อทรงหลั่งฝนธรรม ให้สัตว์ทั้ง
หลายเอิบอิ่ม อภิสมัยครั้งที่ ๒ ได้มีแก่สัตว์สามล้านเจ็ดแสน.

ก็ครั้ง พระเจ้าอานันทมหาราช ปรากฏพระองค์ในกรุงมิถิลา
ในสำนักของพระปทุมุตตรสัมมาสัมพุทธเจ้า
พร้อมด้วยบุรุษ [ทหาร] สองหมื่นและอมาตย์ยี่สิบคน.

พระผู้มีพระภาคเจ้าปทุมุตตระ
ทรงให้ชนเหล่านั้นบวชด้วยเอหิภิกขุบรรพชาทุกคน อันชนเหล่านั้นแวดล้อมแล้ว
เสด็จไปทำการสงเคราะห์พระชนก
ประทับอยู่ ณ กรุงหังสวดี ราชธานี
ในที่นั้น พระองค์เสด็จจงกรม ณ รัตนจงกรม ในท้องนภากาศ
ตรัสพุทธวงศ์เหมือนพระผู้มีพระภาคเจ้าของเรา ในกรุงกบิลพัสดุ์
ครั้งนั้นธรรมาภิสมัยครั้งที่ ๓ ได้มีแก่สัตว์ห้าล้าน
ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
ครั้งพระมหาวีระ เข้าไปโปรดพระเจ้าอานันทะ
เสด็จเข้าไปใกล้พระชนก ทรงลั่นอมตเภรี.
เมื่อทรงลั่นอมตเภรีแล้ว ทรงหลั่งฝนคือ ธรรมอภิสมัยครั้งที่ ๓ ได้มีแก่สัตว์ห้าล้าน.

แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น
บทว่า อานนฺทํ อุปสงฺกมิ ตรัสหมายถึงพระเจ้าอานันทะ พระชนก.
บทว่า อาหนิ แปลว่า ลั่น (ตี).
บทว่า อาหเตก็คือ อาหตาย ทรงลั่นแล้ว.
บทว่า อมตเภริมฺหิ ก็คือ อมตเภริยา เมื่อ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 470
กลองอมตะ พึงเห็นว่าเป็นลิงควิปลาส
ปาฐะว่า อาเสวิเต ดังนี้ก็มี ปาฐะนั้น มีความว่า อาเสวิตาย อันเขาซ่องเสพแล้ว.
บทว่า วสฺสนฺเต ธมฺมวุฏฺฐิยา ความว่า หลั่งฝนคือธรรม
บัดนี้ เมื่อทรงแสดงอุบายเพื่อกระทำอภิสมัยจึงตรัสว่า
พระพุทธเจ้าผู้ทรงฉลาดในเทศนา ทรงสั่งสอนให้สัตว์เข้าใจ
ให้สัตว์ทั้งหลายข้าม ทรงยังหมู่ชนเป็นอันมากให้ข้ามโอฆสงสาร.
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น
บทว่า โอวาทกะ ได้แก่ ชื่อว่า โอวาทกะ
เพราะสั่งสอนด้วยพรรณนาคุณานิสงส์ของสรณะและการสมาทานศีล และธุดงค์.
บทว่า วิญฺญาปโก ได้แก่ ชื่อว่า วิญญาปกะ เพราะให้เขารู้สัจจะ ๔ คือให้เขาตรัสรู้.
บทว่า ตารโก ได้แก่ ให้ข้ามโอฆะ ๔.

ครั้งนั้น พระศาสดาทรงมีพระพักตร์เสมือนจันทร์เพ็ญในวันเพ็ญมาฆบูรณมี
ทรงยกปาติโมกข์ขึ้นแสดง ท่ามกลางภิกษุแสนโกฏิ ณ มิถิลา ราชอุทยาน กรุงมิถิลา
นั้นเป็นสันนิบาตครั้งที่ ๑
ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
พระศาสดาปทุมุตตระ ทรงมีสันนิบาตประชุมสาวก ๓ ครั้ง
ครั้งที่ ๑ เป็นการประชุมสาวกแสนโกฏิ.
ครั้ง พระผู้มีพระภาคเจ้า จำพรรษา ณ ยอดเวภารบรรพต
ทรงแสดงธรรมโปรดมหาชนที่มาชมบรรพต
ทรงยังชนเก้าหมื่นโกฏิให้บวชด้วยเอหิภิกขุบรรพชา
อันภิกษุเหล่านั้นแวดล้อมแล้ว ทรงยกปาติโมกข์ขึ้นแสดง นั้นเป็นสันนิบาตครั้งที่ ๒.

ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 471
ครั้งพระพุทธเจ้า ผู้เสมอด้วยพระพุทธเจ้า ผู้ไม่มีผู้เสมอ
เสด็จจำพรรษา ณ เวภารบรรพต ภิกษุเก้าหมื่นโกฏิประชุมกัน เป็นสันนิบาตครั้งที่ ๒.
เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้มีพระคุณ ผู้เป็นนาถะของ ๓ โลก
ทรงทำการเปลื้องมหาชนจากเครื่องผูก เสด็จจาริกไปตามชนบท
ภิกษุแปดหมื่นโกฏิประชุมกัน

ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จจาริกไปอีก
ภิกษุที่ออกบวชจากคามนิคมและรัฐแปดหมื่นโกฏิประชุมกัน เป็นสันนิบาตครั้งที่ ๓.

แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น
บทว่า คามนิคมรฏฺฐโต ก็คือ คามนิคมรฏฺเฐหิ จากคามนิคมรัฐชนบท
หรือปาฐะก็อย่างนี้เหมือนกัน ปาฐะนั้น ความว่า ผู้ออกบวชจากคามนิคมและรัฐทั้งหลาย.

ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์ของเรา เป็นผู้ครองรัฐใหญ่ชื่อว่า ชฎิล มีทรัพย์หลายโกฏิ
ได้ถวายทานอย่างดีพร้อมทั้งจีวร แด่พระสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน
เสร็จอนุโมทนาภัตทาน พระพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ก็ทรงพยากรณ์เราว่า
ในอนาคตกาล จักเป็นพระพุทธเจ้าพระนามว่าโคตมะ ในที่สุดแสนกัป

ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
สมัยนั้น เราเป็นผู้ครองรัฐ ชื่อชฎิล
ได้ถวายภัตตาหารพร้อมทั้งผ้า แด่พระสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 472
พระพุทธเจ้าแม้พระองค์นั้น ประทับนั่งท่ามกลางสงฆ์
ทรงพยากรณ์เราว่า ท่านผู้นี้จักเป็นพระพุทธเจ้าในแสนกัปนับแต่กัปนี้ไป.
พระตถาคต ตั้งความเพียร ฯ ล ฯ จักอยู่ต่อหน้าของท่านผู้นี้.
เราฟังพระดำรัสของพระองค์แล้ว ก็อธิษฐานข้อวัตรยิ่งยวดขึ้น
ได้ทำความเพียรมั่นคงอย่างยิ่ง เพื่อบำเพ็ญบารมี ๑๐ ให้บริบูรณ์.
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น
บทว่า สมฺพุทฺธปฺปมุขํ สงฺฆํ ก็คือ พุทฺธปฺปมุขสฺส สงฺฆสฺส
แด่พระสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน ทุติยาวิภัตติลงในอรรถฉัฏฐีวิภัตติ.
บทว่า สภตฺตํ ทุสฺสมทาสหํ ความว่า เราได้ถวายภัตตาหารพร้อมด้วยจีวร.
บทว่า อุคฺคทฬฺหํ แปลว่า มั่นคงยิ่ง.
บทว่า ธิตึ ความว่า ได้ทำความเพียร.

ครั้งพระผู้มีพระภาคเจ้า ปทุมุตตระ
ไม่มีพวกเดียรถีย์ เทวดาและมนุษย์ทุกคนถึงพระพุทธเจ้าพระองค์เดียวเป็นสรณะ
ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
ครั้งนั้น พวกเดียรถีย์ ผู้มีใจผัดปกติ มีใจเสียถูกกำจัดมานะหมด
บุรุษบางพวกของเดียรถีย์เหล่านั้นไม่ยอมบำรุงบำเรอ
ก็ขับไล่เดียรถีย์เหล่านั้น ออกไปจากแว่นแคว้น.
ทุกคนมาประชุมกันในที่นั้น ก็เข้าไปที่สำนักของพระพุทธเจ้า
ทูลวอนว่า ข้าแต่พระมหาวีระ ขอ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 473
พระองค์ทรงเป็นที่พึ่ง ข้าแต่พระผู้มีพระจักษุ ขอพระองค์ทรงเป็นสรณะ.
พระพุทธเจ้าผู้ทรงมีความเอ็นดู มีพระกรุณาแสวงประโยชน์แก่สัตว์ทั้งหลาย
ก็ทรงยังเดียรถีย์ที่ประชุมกันทั้งหมดให้ตั้งอยู่ในศีล.
ศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ไม่อากูลอย่างนี้
ว่างเปล่าจากเดียรถีย์ทั้งหลาย งดงามด้วยพระอรหันต์ทั้งหลาย ผู้ชำนาญ ผู้คงที่.

แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น
บทว่า พฺยาหตา ได้แก่ ผู้มีความถือตัวและความกระด้างถูกขจัดแล้ว
ในคำว่า ติตฺถิยา นี้ พึงทราบว่าติตถะ พึงทราบว่าติตถกระ พึงทราบว่าติตถิยะ.
ใน ๓ อรรถนั้น ชื่อว่า ติตถะ เพราะคนทั้งหลายข้ามไป
ด้วยอำนาจทิฏฐิมีสัสสตะทิฏฐิเป็นต้น ได้แก่ ลัทธิ.
ผู้ยังลัทธินั้นให้เกิดขึ้น ชื่อว่า ติตถกระ ผู้มีในลัทธิ ชื่อว่า ติตถิยะ.
พึงทราบว่าที่ตรัสว่า พวกเดียรถีย์ ถูกกำจัดความถือตัวและกระด้างเสียแล้วเป็นต้น
ก็เพื่อแสดงว่า เขาว่า ครั้งพระผู้มีพระภาคเจ้าปทุมุตตระไม่มีเดียรถีย์ ถึงเดียรถีย์เหล่าใด
ยังมีเดียรถีย์แม้เหล่านั้น ก็เป็นเช่นนี้.

บทว่า วิมนา ได้แก่ มีใจผิดแผกไป.
บทว่า ทุมฺมนา เป็นไวพจน์ของคำว่า วิมนา นั้นนั่นแหละ.
บทว่า น เตสํ เกจิ ปริจรนฺติ ความว่า บุรุษแม้บางพวกของเดียรถีย์เหล่านั้น
ไม่ทำการนวดฟั้น ไม่ให้ภิกษาหาร ไม่สักการะ ไม่เคารพ ไม่นับถือ ไม่บูชา
ไม่ยอมลุกจากที่นั่ง ไม่ทำอัญชลีกรรม.
บทว่า รฏฺฐโต ได้แก่ แม้จากรัฐทั่วไป.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 474
บทว่า นิจฺฉุภนฺติ ได้แก่ นำออกไป รุกราน อธิบายว่า ไม่ให้ที่อยู่แก่เดียรถีย์เหล่านั้น.
บทว่า เต ได้แก่ เดียรถีย์ทั้งหลาย.
บทว่า อุปคญฺฉุํ พุทฺธสนฺติเก ความว่า พวกอัญญเดียรถีย์
แม้ทั้งหมด ที่ถูกพวกมนุษย์ชาวแว่นแคว้นรุกราน อย่างนี้ มาประชุมแล้วก็ถึง
พระปทุมุตตรทศพลพระองค์เดียวเป็นสรณะ
พากันกล่าวถึงสรณะอย่างนี้ว่า
ขอพระองค์โปรดทรงเป็นศาสดา เป็นนาถะ เป็นคติ เป็นที่ไปเบื้องหน้า
เป็นสรณะของพวกข้าพระองค์เถิด.
ชื่อว่า อนุกัมปกะ เพราะทรงเอ็นดู.
ชื่อว่า การุณิกะ เพราะทรงประพฤติด้วยความกรุณา.
บทว่า สมฺปตฺเต ได้แก่ พวกเดียรถีย์ที่มาประชุมเข้าถึงสรณะ.
บทว่า ปญฺจสีเล ปติฏฺฐหิ ความว่า ให้ตั้งอยู่ในศีล ๕.
บทว่า นิรากุลํ ได้แก่ ไม่อากูล อธิบายว่า ไม่ปะปนด้วยลัทธิอื่น.
บทว่า สุญฺญกํ ได้แก่ ว่างเปล่าจากเดียรถีย์เหล่านั้น.
บทว่า ตํ พึงเติมคำลงไปว่า พระศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น.
บทว่า วิจิตฺตํ ได้แก่ งามวิจิตร.
บทว่า วสีภูเตหิ ได้แก่ ผู้เชี่ยวชาญ.

พระผู้มีพระภาคเจ้าปทุมุตตระพระองค์นั้น
มีพระนครชื่อว่า หังสวดี
พระชนกพระนามว่า พระเจ้าอานันทะ
พระชนนีพระนามว่า พระนางสุชาดาเทวี.
คู่พระอัครสาวก ชื่อ พระเทวิละ และพระสุชาตะ
พระพุทธอุปัฏฐาก ชื่อ พระสุมนะ
คู่พระอัครสาวิกาชื่อ พระอมิตา และ พระอสมา
โพธิพฤกษ์ชื่อ ต้นสลละ ช้างน้าว.
พระสรีระสูง ๕๘ ศอก
พระรัศมีของพระองค์แผ่ไปกินเนื้อที่ ๑๒ โยชน์ โดยรอบ
พระชนมายุแสนปี
พระอัครมเหสีพระนามว่า พระนางวสุทัตตา
พระโอรสพระนามว่า อุตตระ

เล่ากันว่า
พระผู้มีพระภาคเจ้าปทุมุตตระดับขันธปรินิพพาน ณ พระวิหารนันทาราม
อันเป็นที่น่ารื่นรมย์อย่างยิ่ง.
ส่วนพระบรมสารีริกธาตุของพระองค์ กระจัดกระจายทั่วไป
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 475
พวกมนุษย์ทั่วชมพูทวีป
ชุมนุมกันช่วยกันสร้างพระเจดีย์สำเร็จด้วยรัตนะ ๗ ประการสูง ๑๒ โยชน์

ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
พระปทุมุตตรศาสดา
มีพระนคร ชื่อว่า หังสวดี
พระชนก พระนามว่า พระเจ้าอานันทะ
พระชนนีพระนามว่า พระนางสุชาดา.

พระปทุมุตตรพุทธเจ้า ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่มี
พระอัครสาวิกา ชื่อว่าพระอมิตา และ พระอสมา
โพธิพฤกษ์ของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ชื่อต้นสลละ(ต้นช้างน้าว).
พระมหามุนีสูง ๕๘ ศอก
พระลักษณะอันประเสริฐ ๓๒ เช่นเดียวกับรูปปฏิมาทอง.
พระรัศมีแห่งพระสรีระ แผ่ไปรอบๆ ๑๒ โยชน์
ยอดเรือน บานประตู ฝา ต้นไม้ กองศิลา คือ ภูเขาก็กั้นพระรัศมีนั้นไม่ได้.

ในยุคนั้น มนุษย์มีอายุแสนปี
พระปทุมุตตระพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงมีพระชนม์ยืนถึงเพียงนั้น
ย่อมยังหมู่ชนเป็นอันมากให้ข้ามโอฆสงสาร.
พระองค์ทั้งพระสาวก ยังชนเป็นอันมากให้ข้าม
โอฆสงสาร ตัดความสงสัยทุกอย่างแล้ว ก็เสด็จดับ
ขันธปรินิพพาน เหมือนกองไฟลุกโพลงแล้วก็ดับฉะนั้น.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 476
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น
บทว่า นคสิลุจฺจยา ได้แก่ กองศิลากล่าวคือภูเขา.
บทว่า อาวรณํ ได้แก่ ปกปิด ทำไว้ภายนอก.
บทว่า ทฺวาทสโยชเน ความว่า พระรัศมีแห่งพระสรีระของพระผู้มีพระภาคเจ้า
แผ่ไปในที่ ๑๒ โยชน์โดยรอบ ตั้งอยู่ทั้งกลางคืนกลางวัน.
ในคาถาที่เหลือในที่ทุกแห่งความชัดแล้วทั้งนั้นแล.
ตั้งแต่นี้ไป เราจักย่อความที่มาแล้วซ้ำซากมีการบำเพ็ญบารมีเป็นต้น
จะกล่าวแต่ความที่แปลกกันเท่านั้น ก็หากว่า เราจะกล่าวซ้ำซากความที่กล่าว
มาแล้วเมื่อไร จักจบ การพรรณนามีอย่างนี้แล.
จบพรรณาวงศ์พระปทุมุตตรพุทธเจ้า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 477



65


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 439
๙. วงศ์พระนารทพุทธเจ้าที่ ๙
ว่าด้วยพระประวัติของพระนารทพุทธเจ้า


[๑๐] ต่อจากสมัยของพระปทุมพุทธเจ้า
พระสมัยพุทธเจ้าพระนามว่า นารทะ ผู้เป็นยอดแห่งสัตว์สองเท้า ไม่มีผู้เสมอ ไม่มีผู้เปรียบ.
พระพุทธเจ้าพระองค์นั้น เป็นพระเชษฐโอรสที่น่าเอ็นดูของพระเจ้าจักรพรรดิ
ทรงสวมอาภรณ์มณีเสด็จเข้าไปยังพระราชอุทยาน.
ในพระราชอุทยานนั้น มีต้นไม้ใหญ่ไพศาลงามสะอาดสะอ้าน
ถึงต้นไม้นั้นแล้ว ประทับนั่งภายใต้ต้นมหาโสณะ [ต้นอ้อยช่างใหญ่].
ณ ที่นั้น ญาณอันประเสริฐ ไม่มีที่สุด คมดุจวชิระ ก็เกิด
ทรงพิจารณา ความเกิด ความดับแห่งสังขารทั้งหลาย ด้วยพระญาณนั้น.
ณ ที่นั้น ทรงกำจัดกิเลสทั้งหลายไม่เหลือเลย
ทรงบรรลุพระโพธิญาณ และพระพุทธญาณ ๑๔ สิ้นเชิง.
ครั้น ทรงบรรลุพระโพธิญาณแล้ว ก็ทรงประกาศพระธรรมจักร
อภิสมัยครั้งที่ ๑ ได้มีแก่สัตว์แสนโกฏิ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 440
พระมหามุนีทรงฝึกทรมาน พญานาค ชื่อ มหาโทณะ
เมื่อทรงแสดงแก่โลกพร้อมทั้งเทวโลก ก็ได้ทรงทำปาฏิหาริย์ในครั้งนั้น.
ครั้งนั้น เทวดาและมนุษย์เก้าหมื่นโกฏิ ข้ามพ้นความสงสัยทั้งปวง ในการประกาศธรรมนั้น.

สมัยพระมหาวีระ ทรงโอวาทพระโอรสของพระองค์
อภิสมัยครั้งที่ ๓ ได้มีแก่สัตว์แปดหมื่นโกฏิ.

พระนารทพุทธเจ้า ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่
ทรงมีสันนิบาตประชุมสาวก ๓ ครั้ง
ครั้งที่ เป็นการประชุมสาวกแสนโกฏิ.

ครั้งพระพุทธเจ้า ทรงประกาศพระพุทธคุณพร้อมทั้งเหตุ
สาวกเก้าหมื่นโกฏิ ผู้ไร้มลทินก็ประชุมกัน.

ครั้งพญานาคชื่อว่า เวโรจนะ
ถวายทานแด่พระศาสดา พระชินบุตรแปดล้านก็ประชุมกัน.

สมัยนั้น เราเป็นชฎิลมีตบะสูง
ถึงฝั่งอภิญญา ๕ ท่องเที่ยวไปในอากาศ.

แม้ครั้งนั้น เราก็เลี้ยงดูพระนารทพุทธเจ้า
ผู้เสมอด้วยพระพุทธเจ้าผู้ที่ไม่มีผู้เสมอ
พร้อมทั้งพระสงฆ์ ทั้งบริวารชนให้อิ่มหนำสำราญด้วยข้าว น้ำ บูชาด้วยจันทน์แดง.
ครั้งนั้น พระนารทพุทธเจ้า
ผู้นำโลกแม้พระองค์นั้น
ก็ทรงพยากรณ์เราว่า จักเป็นพระพุทธเจ้าในกัปที่หาประมาณมิได้ นับแต่กัปนี้ไป.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 441
พระตถาคต ออกอภิเนษกรมณ์จากกรุงกบิลพัศดุ์
ที่น่ารื่นรมย์ ตั้งความเพียรทำทุกกรกิริยา.
พระตถาคต ประทับนั่ง ณ โคนต้นอชปาลนิโครธ
รับข้าวมธุปายาส ณ ที่นั้นแล้วเข้าไปยังแม่น้ำเนรัญชรา.
พระชินเจ้าพระองค์นั้น เสวยข้าวมธุปายาส ณ ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา
เสด็จดำเนินตามทางอัน ที่เขาจัดแต่งไว้ ไปที่โคนโพธิพฤกษ์.
แต่นั้น พระผู้มีพระยศใหญ่ ทรงทำประทักษิณ
โพธิมัณฑสถานอันยอดเยี่ยม ตรัสรู้ ณ โคนโพธิพฤกษ์ ชื่อต้นอัสสัตถะ.
ท่านผู้นี้ จักมีพระชนนี พระนามว่า พระนางมายา
พระชนกพระนามว่าพระเจ้าสุทโธทนะ
ท่านผู้นี้จักมีพระนามว่า โคตมะ.
จักมีพระอัครสาวก ชื่อว่า พระโกลิตะ และพระอุปติสสะ
ผู้ไม่มีอาสวะ ปราศจากราคะ มีจิตสงบตั้งมั่น
พระพุทธอุปัฏฐากชื่อว่า พระอานันทะ จักบำรุงพระชินเจ้าผู้นี้.
จักมีพระอัครสาวิกา ชื่อว่า พระเขมา และ พระอุบลวรรณนา
ผู้ไม่มีอาสวะ ปราศจากราคะ มีจิตสงบ ตั้งมั่น.
โพธิพฤกษ์ของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นเรียกว่าต้นอัสสัตถะ
จักมีอัครอุปัฏฐาก ชื่อจิตตะ และหัตถะอาฬวกะ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 442
จักมีอัครอุปัฏฐายิกา ชื่อว่า นันทมาตา และอุตตรา
พระโคดมผู้มีพระยศพระองค์นั้น จักมีพระชนมายุ ๑๐๐ ปี.

มนุษย์แลเทวดาทั้งหลาย ฟังพระดำรัสนี้ของพระนารทพุทธเจ้า ผู้ไม่มีผู้เสมอ
ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่ก็ปลาบปลื้มใจว่า ท่านผู้นี้เป็นหน่อพุทธางกูร.
หมื่นโลกธาตุ ทั้งเทวโลก ก็พากันโห่ร้อง ปรบมือ หัวร่อร่าเริง
ประคองอัญชลีนมัสการ กล่าวว่า
ผิว่า พวกเราจักพลาด คำสั่งสอนของพระโลกนาถพระองค์นี้ไซร้
ในอนาคตกาล พวกเราก็จักอยู่ต่อหน้าของท่านผู้นี้.
มนุษย์ทั้งหลาย เมื่อจะข้ามแม่น้ำ พลาดท่าน้ำข้างหน้า ก็ถือเอาท่าน้ำข้างหลัง ข้ามแม่น้ำใหญ่ฉันใด.
พวกเราทั้งหมด ผิว่า ผ่านพ้นพระพุทธชินเจ้าพระองค์นี้ไซร้
ในอนาคตกาล พวกเราก็จักอยู่ต่อหน้าของท่านผู้นี้ ฉันนั้นเหมือนกัน.
เราฟังพระดำรัสของพระองค์แล้ว ก็ยิ่งร่าเริงใจ
อธิษฐานข้อวัตรยิ่งยวดขึ้นไป เพื่อบำเพ็ญบารมี ๑๐ ให้บริบูรณ์.

พระนารทพุทธเจ้า ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่มีพระนคร
ชื่อว่าธัญญวดี พระชนก พระนามว่า พระเจ้าสุเทวะ
พระชนนีพระนามว่า พระนางอโนมา.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 443
พระองค์ทรงครองฆราวาสวิสัยเก้าพันปี
มีปราสาทชั้นเยี่ยม ๓ หลังชื่อว่า ชิตะ วิชิตะ และอภิรามะ.
มีพระสนมนารี ที่ประดับกายงามสี่หมื่นสามพันนาง
พระอัครมเหสีพระนามว่า วิชิตเสนา
พระโอรสพระนามว่า นันทุตตระ.
พระยอดบุรุษทรงเห็นนิมิต ๔
เสด็จออกอภิเนษกรมณ์ โดยดำเนินด้วยพระบาท
ทรงบำเพ็ญเพียร ๗ วัน.

พระมหาวีระนารทะ ผู้นำโลก ผู้สงบ อันท้าวมหาพรหมอาราธนาแล้ว
ทรงประกาศพระธรรมจักร ณ ธนัญชัยราชอุทยาน อันสูงสุด.
พระอัครสาวก ชื่อ พระภัททสาละ และ พระชิตมิตตะ
พระพุทธอุปัฏฐาก ชื่อว่า วาเสฏฐะ.
พระอัครสาวิกา ชื่อ พระอุตตรา และพระผัคคุนี
โพธิพฤกษ์ของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น เรียกว่า ต้นมหาโสณะ.
อัครอุปัฏฐาก ชื่อว่า อุคครินทะ และ วสภะ
อัครอุปัฏฐายิกา ชื่อ อินทวรี และ คัณฑี.
พระมหามุนี ทรงสูง ๘๘ ศอก เช่นเดียวกับรูปปฏิมาทอง หมื่นโลกธาตุก็เจิดจ้า.
พระรัศมีวาหนึ่ง แล่นออกจากพระวรกายของพระองค์ไปทั้งทิศน้อยทิศใหญ่
แผ่ไปโยชน์หนึ่ง ทั้งกลางวันกลางคืน ไม่มีระหว่างทุกเมื่อ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 444
สมัยนั้น ชนบางพวกไม่ยังคบเพลิง และดวงประทีปให้ลุกโพลงไปรอบๆ โยชน์หนึ่ง
เพราะพระพุทธรัศมีทั้งหลายครอบไว้.

ในยุคนั้น มนุษย์มีอายุเก้าหมื่นปี
พระนารทพุทธเจ้า พระองค์นั้น
เมื่อทรงมีพระชนม์ยืนถึงเพียงนั้นก็ยังหมู่ชนเป็นอันมากให้ข้ามโอฆสงสาร.
ท้องฟ้างามวิจิตร ด้วยดวงดาวทั้งหลาย ฉันใด
พระศาสนาของพระองค์ก็งดงาม ด้วยพระอรหันต์ทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกัน.
พระนราสภพระองค์นั้น ทรงสร้างสะพานธรรมไว้มั่นคง
เพื่อยังผู้ปฏิบัติที่เหลือให้ข้ามกระแสสังสารวัฏ แล้วเสด็จดับขันธปรินิพพาน.
พระพุทธเจ้า ผู้เสมอด้วยพระพุทธเจ้า ผู้ที่ไม่มีผู้เสมอพระองค์นั้นก็ดี
ทั้งนั้นก็อันตรธานไปสิ้น สังขารทั้งปวงก็ว่างเปล่า แน่แท้.
พระนารทพุทธเจ้า ผู้ทรงเป็นพระชินะ ผู้ประเสริฐ
เสด็จดับขันธปรินิพพาน ณ กรุงสุทัสสนะ
พระสถูปอันประเสริฐ สูง ๔ โยชน์ ก็อยู่ ณ ที่นั้นแล.
จบวงศ์นารทพุทธเจ้าที่ ๙
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 445
พรรณนาวงศ์พระนารทพุทธเจ้าที่ ๙
เมื่อพระปทุมพุทธเจ้า ปรินิพพานแล้ว ศาสนาของพระองค์ก็อันตรธานไปแล้ว
มนุษย์ทั้งหลายมีอายุแสนปี ลดลงโดยลำดับ จนมีอายุสิบปีแล้วก็เพิ่มขึ้นอีก
เป็นอายุอสงไขยหนึ่ง แล้วก็ลดลงเหลือเก้าหมื่นปี.

ครั้งนั้น พระศาสดายอดนรสัตว์พระนามว่า นารทะ
ผู้ทรงกำลัง ๑๐ มีวิชชา ๓ ผู้แกล้วกล้าด้วยเวสารัชชญาณ ๔
ผู้ประทานวิมุตติสาร อุบัติขึ้นในโลก.

พระองค์ทรงบำเพ็ญบารมีมา สี่อสงไขยแสนกัป
ทรงบังเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต
จุติจากนั้นแล้ว ก็ทรงถือปฏิสนธิในพระครรภ์ของพระนางอโนมาเทวี
ผู้มีพระโฉมไม่มีที่เปรียบพระอัครมเหสีในราชสกุล พระเจ้าสุเทวะ
วาสุเทพแห่งวีริยรัฐของพระองค์ กรุงธัญญวดี
ครบทศมาส พระองค์ก็ประสูติจากพระครรภ์พระชนนี ณ ธนัญชัยราชอุทยาน.
ในวันเฉลิมพระนาม เมื่อกำลังเฉลิมพระนาม
เครื่องอาภรณ์ทั้งหลายที่สมควรเหมาะแก่การใช้สำหรับมนุษย์ทั้งหลายทั่วชมพูทวีป
ก็หล่นจากต้นกัลปพฤกษ์เป็นต้นทางอากาศ ด้วยเหตุนั้น เขาจึงถวายเครื่อง
อาภรณ์ทั้งหลายที่สมควรสำหรับนรชนทั้งหลายแต่พระองค์ เพราะฉะนั้นพวก
โหรและพระประยูรญาติทั้งหลายจึงเฉลิมพระนามว่า นารทะ.

พระองค์ครองฆราวาสวิสัยอยู่เก้าพันปี.
มีปราสาท ๓ หลังเหมาะฤดูทั้ง ๓ ชื่อว่า วิชิตาวี วิชิตาวี และวิชิตาภิรามะ
พระชนกชนนีได้ทรงทำขัตติยกัญญาผู้มีบุญอย่างยิ่งพระนามว่า วิชิตเสนา
ผู้ถึงพร้อมด้วยสกุลศีลาจารวัตรและรูปสมบัติให้เป็นอัครมเหสีแก่นารทกุมารนั้น.
พระสนมนารี จำนวนแสนสองหมื่นนาง มีพระนางวิชิตเสนานั้นเป็นประธาน
เมื่อพระนันทุตตรกุมาร
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 446
ผู้นำความบันเทิงใจแก่โลกทั้งปวง ของพระนางวิชิตเสนาเทวีนั้น ประสูติแล้ว
พระนารทะกุมารนั้น ก็ทรงเห็นนิมิต ๔ อันจตุรงคเสนาทัพใหญ่
แวดล้อมแล้วทรงเครื่องนุ่งห่มอันเบาดี สีต่างๆ สวมกุณฑลมณีมุกดาหาร
ทรงพาหุรัดพระมงกุฎและทองพระกรอย่างดี
ทรงประดับด้วยดอกไม้กลิ่นหอมอย่างยิ่ง ดำเนินด้วยพระบาทสู่พระราชอุทยาน
ทรงเปลื้องเครื่องประดับทั้งหมดมอบไว้ในมือพนักงานรักษาคลังหลวง
ทรงตัดพระเกศาและมงกุฎของพระองค์ที่ประดับด้วยรัตนะอันงามอย่างยิ่ง
ด้วยพระขรรค์อันคมกริบ เฉกเช่นกลีบบัวขาบอันไม่มีมลทินด้วยพระองค์เอง
แล้วทรงเหวี่ยงไปที่ท้องนภากาศ.

ท้าวสักกเทวราช ทรงรับด้วยผอบทอง นำไปภพดาวดึงส์
ทรงสร้างพระเจดีย์สำเร็จด้วยรัตนะ ๗ เหนือยอดขุนเขาสิเนรุ สูง ๓ โยชน์.
ฝ่ายพระมหาบุรุษ ทรงครองผ้ากาสายะที่เทวดาถวาย
ทรงผนวช ณ อุทยานนั้นนั่นเอง บุรุษแสนคนก็บวชตามเสด็จ
พระมหาบุรุษทรงทำความเพียรอยู่ในที่นั้น ๗ วัน
วันวิสาขบูรณมี เสวยข้าวมธุปายาสที่พระนางวิชิตเสนาอัครมเหสีถวาย
ทรงพักกลางวัน ณ พระราชอุทยานทรงรับหญ้า ๘ กำที่พนักงานเฝ้าพระสุทัสสนราชอุทยาน ถวาย
ทรงทำประทักษิณ ต้นมหาโสณะโพธิพฤกษ์
ทรงลาดสันถัตหญ้ากว้าง ๕๘ ศอก ประทับนั่ง
ทรงกำจัดกองกำลังมาร
ทรงยังวิชชา ๓ ให้เกิดในยามทั้ง ๓ แทงตลอดพระสัพพัญญุตญาณ
ทรงเปล่งพระอุทานว่า
อเนกชาติสํสารํ ฯเปฯ ตณฺหานํ ขยมชฺฌคา แล้ว
ทรงยับยั้งอยู่ ๗ สัปดาห์ อันท้าวมหาพรหมอาราธนาแล้ว
ประทานคำรับรองแล้วอันภิกษุแสนรูปที่บวชกับพระองค์ ณ ธนัญชัยราชอุทยานแวดล้อมแล้ว
ทรงประกาศพระธรรมจักร ณ ที่นั้น
ครั้งนั้น ธรรมาภิสมัยได้มีแก่สัตว์แสนโกฏิ.
ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 447
ต่อจากสมัยของพระปทุมพุทธเจ้า
พระสัมพุทธเจ้าพระนามว่า นารทะ
ผู้เป็นยอดแห่งสัตว์สองเท้าไม่มีผู้เสมอ ไม่มีผู้เปรียบ.

พระพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ทรงเป็นเชษฐโอรสน่าเอ็นดูของพระเจ้าจักรพรรดิ
ทรงสวมอาภรณ์แก้วมณีเสด็จเข้าพระราชอุทยาน.
ณ พระราชอุทยานนั้น มีต้นไม้งามกว้างใหญ่สะอาดสะอ้าน
เสด็จถึงต้นไม้นั้นแล้วประทับนั่งภายใต้ต้นมหาโสณะ.
ณ ต้นไม้นั้น ก็เกิดญาณอันประเสริฐไม่มีที่สุด
คมเปรียบด้วยวชิระ ก็ทรงพิจารณาความเกิดความดับของสังขารทั้งหลาย.
ทรงขจัดกิเลสทุกอย่างไม่เหลือเลย ณ ต้นไม้นั้น
ทรงบรรลุพระโพธิญาณ และพระพุทธญาณ ๑๔ สิ้นเชิง.
ครั้นทรงบรรลุพระโพธิญาณแล้ว
ก็ทรงประกาศพระธรรมจักร
อภิสมัยครั้งที่ ๑ ได้มีแก่สัตว์แสนโกฎิ.

แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น
บทว่า จกฺกวตฺติสฺส ได้แก่ พระเจ้าจักรพรรดิ
บทว่า เชฏฺโฐ ได้แก่ เกิดก่อน.
บทว่า ทยิตโอรโส ได้แก่ พระโอรส พระราชบุตร ที่น่าเอ็นดูน่ารัก.
บุตรที่เขาเอ็นดูแล้ว อันเขากอดประทับไว้ที่อก ชื่อว่า ทยิตโอรส.

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 448
บทว่า อามุกฺกมาลาภรโณ๑ ได้แก่ สวมพาหุรัดทองกรมงกุฏ
และกุณฑลมุกดาหารเป็นมาลัย.
บทว่า อุยฺยานํ ความว่า ได้ไปยังอารามชื่อ ธนัญชัยราชอุทยาน นอกพระนคร.
บทว่า ตตฺถาสิ รุกฺโข ความว่า เขาว่าในราชอุทยานนั้น มีต้นไม้ ต้นหนึ่ง ชื่อว่า รัตตโสณะ.
เขาว่าต้นรัตตโสณะนั้น สูง ๙๐ ศอก ลำต้นเกลากลม มีค่าคบและกิ่งก้านสะพรั่ง
มีใบเขียวหนาและกว้าง มีเงาทึบเพราะมีเทวดาสิงสถิต
จึงปราศจากหมู่นกนานาชนิดสัญจร เป็นดิลกจุดเด่นของพื้นธรณี
กระทำประหนึ่งราชาแห่งต้นไม้ ดูน่ารื่นรมย์อย่างยิ่ง ทุกกิ่งประดับด้วย
ดอกสีแดง เป็นจุดรวมแห่งดวงตาของเทวดาและมนุษย์.
บทว่า ยสวิปุโล ได้แก่ มียศไพบูลย์ อธิบายว่า อันโลกทั้งปวงกล่าวถึง ปรากฏเลื่องลือไปในที่
ทั้งปวงเพราะสมบัติของต้นไม้เอง.

อาจารย์บางพวกกล่าวว่า ตตฺถาสิ รุกฺโขวิปุโล ดังนี้ก็มี.
บทว่า พฺรหา แปลว่า ใหญ่ อธิบายว่า เช่นเดียวกับต้นปาริฉัตตกะของทวยเทพ.
บทว่า ตมชฺฌปฺปตฺวา ความว่า ถึง ถึงทับ คือเข้าไปยังต้นโสณะนั้น.
บทว่า เหฏฺฐโต ได้แก่ ภายใต้ต้นไม้นั้น.
บทว่า ญาณวรุปฺปชฺชิ ได้แก่ ญาณอันประเสริฐเกิดขึ้น.
บทว่า อนนฺตํ ได้แก่ นับไม่ได้ ประมาณไม่ได้.
บทว่า วชิรูปมํ ได้แก่ คมเช่นวชิระ
คำนี้เป็นชื่อของวิปัสสนาญาณ มีอนิจจานุปัสสนาเป็นต้น.
บทว่า เตน วิจินิ สงฺขาเร ได้แก่ พิจารณาสังขารทั้งหลายมีรูปเป็นต้น ด้วยวิปัสสนาญาณนั้น.
บทว่า อุกฺกุชฺชมวกุชฺชกํ ความว่า พิจารณาความเกิดและความเสื่อมของสังขารทั้งหลาย.
อธิบายว่า เพราะฉะนั้น พระองค์พิจารณาปัจจยาการออกจากจตุตถฌาน
มีอานาปานสติเป็นอารมณ์ หยั่งลงในขันธ์ ๕ ก็เห็นลักษณะ ๕๐ถ้วน
ด้วยอุทยัพพยญาณ เจริญวิปัสสนาจนถึงโคตรภูญาณ
ก็ได้พระพุทธคุณทั้งสิ้นโดยลำดับแห่งพระอริยมรรค
๑. บาลีเป็น อามุตฺตมณฺยาภรโณ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 449
บทว่า ตตฺถ ได้แก่ ณ ต้นโสณะ.
บทว่า สพฺพกิเลสานิ ได้แก่ สพฺเพปิ กิเลเส กิเลสแม้ทั้งหมด ท่านกล่าวเป็นลิงควิปลาส.
อาจารย์บางพวกกล่าวว่า ตตฺถ สพฺพกิเลเสหิ.
บทว่า อเสสํ แปลว่า ไม่เหลือเลย
บทว่า อภิวาหยิ ได้แก่ ขจัดกิเลสทั้งหมด โดยเขตมรรคและเขตกิเลส
อธิบายว่านำเข้าไปสู่ความสูญหาย.
บทว่า โพธิ ได้แก่ อรหัตมรรคญาณ.
บทว่า พุทฺธญาเณ จ จุทฺทส ได้แก่ พุทฺธญาณานิ จุทฺทส พุทธญาณ ๑๔ อย่าง.
๑๔ อย่าง คืออะไร. คือญาณเหล่านี้อย่างนี้คือ มรรคญาณผลญาณ ๘ อสาธารณ-
ญาณ ๖ ชื่อว่าพุทธญาณของพระพุทธเจ้า. จ ศัพท์เป็นสัมปิณฑนัตถะ ด้วย จ
ศัพท์นั้นความว่า แม้ประการอื่นทรงบรรลุปฏิสัมภิทาญาณ ๔ เวสารัชชญาณ
๔ ญาณกำหนดกำเนิด ๔ ญาณกำหนดคติ ๕ ทศพลญาณ ย่อมรวมลงในพระพุทธคุณทั้งสิ้น.

พระมหาบุรุษนารทะ
ทรงบรรลุความเป็นพระพุทธเจ้าอย่างนี้
ทรงรับอาราธนาของท้าวมหาพรหม
ทรงทำภิกษุแสนโกฏิ ซึ่งบวชกับพระองค์ ณ ธนัญชัยราชอุทยาน
ไว้เฉพาะพระพักตร์แล้ว ทรงประกาศพระธรรมจักร.
ครั้งนั้นอภิสมัยครั้งที่ ๑ ได้มีแก่ภิกษุแสนโกฏิ.

ได้ยินว่า ครั้งนั้นพระยานาค ชื่อ โทณะ
มีฤทธานุภาพมาก มหาชนสักการะเคารพนับถือบูชา อาศัยอยู่ริมฝั่งแม่น้ำคงคา
ใกล้ มหาโทณนคร พวกมนุษย์ชาวชนบทในถิ่นใดไม่ทำการบวงสรวงพระยานาคนั้น
พระยานาคนั้นก็จะทำถิ่นนั้นของมนุษย์พวกนั้นให้พินาศโดยทำไม่ให้ฝนตกบ้าง
ให้ฝนตกมากเกินไปบ้าง ทำฝนก้อนกรวดให้ตกลงบ้าง.

ลำดับนั้น
พระนารทศาสดา ผู้ทรงเห็นฝั่ง
ทรงเห็นอุปนิสัยของสัตว์เป็นอันมาก
ในการแนะนำพระยานาคโทณะอันภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่แวดล้อมแล้ว
จึงเสด็จไปยังสถานที่อยู่ของพระยานาคนั้น.
แต่นั้นมนุษย์ทั้งหลายเห็นพระศาสดาแล้วกราบทูลอย่างนี้ว่า
ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระยานาคมีพิษร้าย
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 450
มีเดชสูง มีฤทธานุภาพมาก อาศัยอยู่ในที่นั้น มันจักเบียดเบียนพระองค์
ไม่ควรเสด็จไปพระเจ้าข้า.
แต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ทำประหนึ่งไม่ฟังคำของมนุษย์เหล่านั้นเสด็จไป.
ครั้นเสด็จไปแล้ว ก็ประทับนั่งบนเครื่องลาดดอกไม้ที่มีกลิ่นหอมอย่างยิ่ง
ซึ่งพวกมนุษย์เซ่นสรวงพระยานาคนั้นในที่นั้น.
เขาว่า มหาชนประชุมกัน
ด้วยหมายว่าจะเห็นการยุทธของสองฝ่าย คือพระนารทจอมมุนีและพระยานาคโทณะ.

ครั้งนั้น
พระยานาคเห็นพระนาคมุนีนั่งอย่างนั้น
ทนการลบหลู่ไม่ได้ก็ปรากฏตัวบังหวนควัน. แม้พระทศพลก็ทรงบังหวนควัน
พระยานาคบันดาลไฟอีก. แม้พระมุนีเจ้าก็ทรงบันดาลไฟบ้าง.
พระยานาคนั้นมีเนื้อตัวลำบากอย่างเหลือเกิน
เพราะเปลวควันที่พลุ่งออกจากพระสรีระของพระทศพล ทนทุกข์ไม่ได้
ก็ปล่อยพิษออกไป หมายจะฆ่าพระองค์ด้วยความเร็วแห่งพิษ
ทั่วทั้งชมพูทวีปพึงพินาศด้วยความเร็วแห่งพิษ.
แต่พิษนั้น ไม่สามารถจะทำพระโลมาแม้เส้นเดียว
ในพระสรีระของพระทศพลให้สั่นสะเทือนได้.


ทีนั้น พระยานาคนั้นก็ตรวจดูว่า
พระสมณะมีความเป็นไปอย่างไรหนอ
ก็เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้า มีพระพักตร์งามผ่องใส
รุ่งเรืองด้วยพระพุทธรัศมี ๖ พรรณะ เต็มที่ดุจพระอาทิตย์และพระจันทร์ ในฤดูสารท
ก็คิดว่า โอ ! พระสมณะนี้มีฤทธิ์มาก เราไม่รู้กำลังของตัวเอง ผิดพลาดไปเสียแล้ว
แสวงหาที่ช่วยตัวเอง ก็ถึงพระผู้มีพระภาคเจ้านั่นแหละเป็นสรณะ.

ลำดับนั้น
พระนารทมุนีเจ้า ฝึกพระยานาคนั้นแล้ว
ก็ทรงทำยมกปาฏิหาริย์ เพื่อยังจิตของมหาชนที่ประชุมกันในที่นั้นให้เลื่อมใส.
ครั้งนั้น สัตว์เก้าหมื่นโกฏิก็ตั้งอยู่ในพระอรหัต.
นั้นเป็นอภิสมัยครั้งที่ ๒ ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 451
พระมหามุนีทรงฝึกพระยานาคมหาโทณะ
เมื่อจะทรงแสดงแก่โลกพร้อมทั้งเทวโลก ก็ได้ทรงทำปาฏิหารย์ในครั้งนั้น.
ครั้งนั้น เทวดาและมนุษย์เก้าหมื่นโกฏิก็ข้ามพ้นความสงสัยทั้งปวง ในการประกาศธรรม.
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น
บทว่า ปาฏิเหรํ ตทากาสิ ความว่า ได้ทรงทำยมกปาฏิหาริย์.
หรือปาฐะก็อย่างนี้เหมือนกัน.
ปาฐะว่า ตทา เทวมนุสฺสาวา ดังนี้ก็มี.
ในปาฐะนั้น ปฐมาวิภัตติ ลงในอรรถฉัฏฐีวิภัตติว่า เทวมนุสฺสานํ
เพราะฉะนั้นจึงมีความว่า เทวดาและมนุษย์เก้าหมื่นโกฏิ.
บทว่า ตรึสุ ได้แก่ ก้าวล่วงพ้น.
ครั้งเมื่อ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงโอวาทพระนันทุตตรกุมารพระโอรส
ของพระองค์ อภิสมัยครั้งที่ ๓ ได้มีแก่สัตว์แปดหมื่นโกฏิ.
ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
ครั้งที่พระมหาวีระ ทรงโอวาทพระโอรสของพระองค์
อภิสมัยครั้งที่ ๓ ได้มีแก่สัตว์แปดหมื่นโกฏิ.
ก็ครั้งที่พราหมณ์สหาย ๒ คน ชื่อ ภัททสาละและวิชิตมิตตะ
กำลังแสวงหาห้วงน้ำคือ อมฤตธรรม ก็ได้เห็นพระนารทสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้แกล้วกล้ายิ่ง
ประทับนั่งในบริษัท. เขาเห็นมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการในพระกายของพระผู้มีพระภาคเจ้า
ก็ตกลงใจว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมีกิเลสดุจหลังคาอันเปิดแล้วในโลก
เกิดศรัทธาในพระผู้มีพระภาคเจ้า พร้อมด้วยบริวารก็บวชในสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้า.
เมื่อสองสหายนั้นบวชแล้วบรรลุพระอรหัต
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 452
แล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงยกปาติโมกข์ขึ้นแสดง ท่ามกลางภิกษุแสนโกฏิ.
นั้นเป็นสันนิบาตครั้งที่ ๑ ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า

พระนารทพุทธเจ้า ผู้แสวงหาคุณยิ่งใหญ่
ทรงมีสันนิบาตประชุมสาวก ๓ ครั้ง ครั้งที่ ๑ เป็นการประชุมสาวกแสนโกฎิ.

สมัยที่พระนารทสัมมาสัมพุทธเจ้า
ตรัสพุทธวงศ์ จำเดิมแต่ทรงตั้งปณิธานของพระองค์
ในสมาคมพระญาติ ภิกษุเก้าหมื่นโกฏิประชุมกัน

เป็นสันนิบาตครั้งที่ ๒.
ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
ครั้งพระพุทธเจ้าทรงประกาศพระพุทธคุณพร้อมทั้งเหตุ
ภิกษุเก้าหมื่นโกฏิผู้ไร้มลทินประชุมกัน.
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น
บทว่า วิมลา ได้แก่ ปราศจากมลทิน อธิบายว่า พระขีณาสพ.
ครั้งที่พระยานาค ชื่อเวโรจนะ
ผู้เลื่อมใสในการฝึกพระยานาค ชื่อ มหาโทณะ
เนรมิตมณฑปที่สำเร็จด้วยรัตนะ ๗ ประการ ขนาด ๓ คาวุต
ในแม่น้ำคงคา อาราธนาพระผู้มีพระภาคเจ้า พร้อมทั้งบริวาร
ให้ประทับนั่ง ณ มณฑปนั้น พร้อมทั้งบริวารก็นิมนต์เพื่อทรงชมโรงทานของตน
ณ ชนบทของตน ให้เหล่านาฏกะนักฟ้อนรำนาค และนักดนตรีผู้บรรเลงดนตรีชื่อตาละ
ซึ่งทรงเครื่องประดับแต่งตัวนานาชนิด ได้ถวายมหาทาน แด่พระผู้มีพระภาคเจ้า
พร้อมทั้งบริวารด้วยสักการะใหญ่ เสวยเสร็จพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงทำ
อนุโมทนาเสมือนเสด็จลงสู่มหาคงคา. ในกาลนั้นทรงยกปาติโมกข์ขึ้นแสดงท่าม
กลางภิกษุแปดล้าน ผู้ฟังธรรม เวลาจบอนุโมทนาภัตทาน เลื่อมใสแล้วบวช
ด้วยเอหิภิกขุบรรพชา นั้นเป็นสันนิบาตครั้งที่ ๓. ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 453
ครั้งเวโรจนนาค ถวายทานแด่พระศาสดา ภิกษุ
ชินบุตร แปดล้านก็ประชุมกัน.
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น
บทว่า อสีติสตสหสฺสิโย แปลว่า แปดล้าน.
ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์ของเราบวชเป็นฤาษี
เป็นผู้ชำนาญในอภิญญา ๕ และสมาบัติ ๘
สร้างอาศรมอาศัยอยู่ข้างภูเขาหิมพานต์
ลำดับนั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้านารทะ อันพระอรหันต์แปดสิบโกฏิ
และอุบาสกผู้ตั้งอยู่ในอนาคามิผล หนึ่งหมื่นแวดล้อม
เสด็จไปยังอาศรมนั้น เพื่ออนุเคราะห์ฤาษีนั้น.

ดาบสเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าเท่านั้น ก็ปลื้มใจ
สร้างอาศรมเพื่อเป็นที่ประทับอยู่ของพระผู้มีพระภาคเจ้าพร้อมทั้งบริวาร
ประกาศพระคุณของพระศาสดาสิ้นทั้งคืน
ฟังธรรมกถาของพระผู้มีพระภาคเจ้า

วันรุ่งขึ้น ก็ไปอุตตรกุรุทวีป
นำอาหารมาจากที่นั้น ได้ถวายมหาทานแด่พระพุทธเจ้า พร้อมทั้งบริวาร
ถวายมหาทานอย่างนี้ ๗ วัน นำจันทน์แดงที่หาค่ามิได้มาจากป่าหิมพานต์
บูชาพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยจันทน์แดงนั้น.

ครั้งนั้น พระทศพลอันเทวดาและมนุษย์แวดล้อมแล้ว
ตรัสธรรมกถาแล้วทรงพยากรณ์ว่า
ผู้นี้จักเป็นพระพุทธเจ้าพระนามว่า โคตมะ ในอนาคตกาล.
ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
สมัยนั้น เราเป็นชฎิลมีตบะสูง ถึงฝั่งอภิญญา ๕ ท่องเที่ยวไปในอากาศได้.
แม้ครั้งนั้น เราเลี้ยงดูพระพุทธเจ้าผู้เสมอด้วยพระพุทธเจ้าที่ไม่มีผู้เสมอ
พร้อมทั้งพระสงฆ์ ทั้งบริวารชน ให้อิ่มหนำสำราญด้วยข้าวน้ำแล้วบูชาด้วยจันทน์แดง.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 454
แม้ครั้งนั้น พระนารทพุทธเจ้าผู้นำโลกพระองค์นั้น
ก็ทรงพยากรณ์เราว่าจักเป็นพระพุทธเจ้าในกัปที่หาประมาณมิได้ นับแต่กัปนี้ไป.
พระตถาคต ทรงตั้งความเพียร ฯ ล ฯ จักอยู่ต่อหน้าของท่านผู้นี้.
เราฟังพระดำรัสของพระองค์แล้ว ก็ยิ่งร่าเริงใจ
จึงอธิษฐานข้อวัตรยิ่งยวดขึ้น เพื่อบำเพ็ญบารมี ๑๐ ให้บริบูรณ์.
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น
บทว่า ตทาปาหํ ตัดบทว่า ตทาปิ อหํ.
บทว่า อสมสมํ ความว่า อดีตพระพุทธเจ้าทั้งหลายชื่อว่า ไม่มีผู้เสมอ,
ผู้เสมอ คือวัดได้ด้วยอดีตพระพุทธเจ้าที่ไม่มีผู้เสมอเหล่านั้น ชื่อว่าผู้เสมอด้วย
พระพุทธเจ้าที่ไม่มีผู้เสมอ. อีกนัยหนึ่ง ผู้ไม่มีผู้เสมอ ผู้ปราศจากผู้เสมอ.
สาธุชนผู้เสมอ ผู้ปราศจากผู้เสมอหามิได้.
บรรดาผู้เสมอด้วยท่านผู้ไม่มีผู้เสมอเหล่านั้น ผู้เสมอ
เมื่อควรจะกล่าวว่า อสมสมสโม ผู้เสมอเสมอกับท่านผู้ไม่มีผู้เสมอ
พึงทราบว่า ท่านกล่าวลบ สมศัพท์เสียศัพท์หนึ่ง.
ความว่า ผู้เสมอด้วยผู้ไม่มีผู้เสมอ คือผู้ปราศจากผู้เสมอ.
บทว่า สปริชฺชนํ ได้แก่ ทั้งชนผู้เป็นอุบาสก.
ปาฐะว่า โสปิ มํ ตทา นรมรูนํ มชฺเฌ มชฺเฌ พฺยากาสิ จกฺขุมา ดังนี้ก็มี.
ปาฐะนั้น มีความง่ายเหมือนกัน.
บทว่า ภุยโย หาเสตฺว มานสํ ได้แก่ ยังหัวใจให้ร่าเริง ให้ยินดียิ่งขึ้นไป.
บทว่า อธิฏฺฐหํ วตํ อุคฺคํ ได้แก่ อธิษฐานข้อวัตรสูงขึ้น.
ปาฐะว่า อุตฺตรึ วตมธิฏฐาสึ ทสปารมิปูริยา ดังนี้ก็มี.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 455
พระผู้มีพระภาคเจ้านารทะพระองค์นั้น
มีพระนครชื่อว่า ธัญญวดี
พระชนกเป็นกษัตริย์พระนามว่า พระเจ้าสุเทวะ
พระชนนีพระนามว่า อโนมา
คู่พระอัครสาวกชื่อว่า พระภัททสาละ และพระชิตมิตตะ
พระพุทธอุปัฏฐากชื่อว่า พระวาเสฏฐะ
คู่พระอัครสาวิกาชื่อว่า พระอุตตรา และพระผัคคุนี
โพธิพฤกษ์ชื่อว่าต้นมหาโสณะ
พระสรีระสูง ๘๘ ศอก
พระรัศมีแห่งพระสรีระของพระองค์แผ่ไปโยชน์หนึ่งเป็นนิตย์
พระชนมายุเก้าหมื่นปี

พระอัครมเหสีของพระองค์พระนามว่า วิชิตเสนา
พระโอรสพระนามว่า นันทุตตระกุมาร
ปราสาท ๓ หลังชื่อ วิชิตะ วิชิตาวี และวิชิตาราม.
พระองค์ครองฆราวาสวิสัยอยู่เก้าพันปี.
พระองค์เสด็จออกอภิเนษกรมณ์ด้วยพระบาท
ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
พระนารทพุทธเจ้า ผู้แสวงหาคุณยิ่งใหญ่
ทรงมีพระนครชื่อว่าธัญญวดี
พระชนกพระนามว่า พระเจ้าสุเทวะ
พระชนนีพระนามว่า พระนางอโนมา.

พระนารทพุทธเจ้า ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่
ทรงมีพระอัครสาวกชื่อว่า พระภัททสาละและพระชินมิตตะ
พระพุทธอุปัฏฐากชื่อว่า พระวาเสฏฐะ.
พระอัครสาวิกาชื่อว่าพระอุตตราเเละพระผัคคุนี
โพธิพฤกษ์ของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น เรียกว่า ต้นมหาโสณะ.
พระมหามุนีทรงสูง ๘๘ ศอก เช่นเดียวกับรูปปฏิมาทอง หมื่นโลกธาตุก็เจิดจ้า.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 456
พระรัศมีวาหนึ่ง แล่นออกจากพระวรกายของพระองค์แผ่ไปทั้งทิศน้อยทิศใหญ่
แผ่ไปโยชน์หนึ่งทั้งกลางวันกลางคืน ไม่มีระหว่างทุกเมื่อ.

สมัยนั้น
ชนบางพวกจุดคบเพลิง และตามประทีปให้ติดสว่าง ในที่รอบ ๆ โยชน์หนึ่งไม่ได้
เพราะพระพุทธรัศมีครอบงำไว้เสีย.

ในยุคนั้น มนุษย์มีอายุเก้าหมื่นปี
พระนารทพุทธเจ้า พระองค์นั้น
ทรงมีพระชนม์ยืนถึงเพียงนั้นก็ยังหมู่ชนเป็นอันมาก ให้ข้ามโอฆสงสาร.
ท้องฟ้างามไพจิตร ด้วยดวงดาวทั้งหลายฉันใดศาสนาของพระองค์ก็งาม
ด้วยพระอรหันต์ทั้งหลายฉันนั้นเหมือนกัน.

พระนราสภพระองค์นั้น
ทรงทำสะพานคือธรรม
เพื่อยังผู้ปฏิบัติที่เหลือให้ข้ามกระแสสังสารวัฎ แล้วเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน.
พระพุทธเจ้าผู้เสมอด้วยพระพุทธเจ้าผู้ที่ไม่มีผู้เสมอ พระองค์นั้นก็ดี
พระขีณาสพทั้งหลาย ผู้มีเดชที่ชั่งไม่ได้เหล่านั้นก็ดี
ทั้งนั้นก็อันตรธานไปสิ้น สังขารทั้งปวงก็ว่างเปล่าแน่แท้.
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น
บทว่า กญฺจนคฺฆิยสงฺกาโส ได้แก่
ผู้มีรูปงามเหมือนรูปปฏิมาที่สำเร็จด้วยทองที่วิจิตรด้วยรัตนะต่าง ๆ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 457
บทว่า ทสสหสฺสี วิโรจติ ความว่า ทั้งหมื่นโลกธาตุเจิดจ้ารุ่งเรือง ด้วยพระรัศมีของพระองค์.
พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อทรงประกาศความข้อนั้นนั่นแล
จึงตรัสว่า พระรัศมีวาหนึ่ง แล่นออกจากพระวรกายของพระองค์ไปทั้งทิศน้อยทิศใหญ่.
บรรดาบทเหล่านั้น
บทว่า พฺยามปฺปกา กายา ได้แก่ เหมือนพระรัศมีวาหนึ่ง
เหตุนั้นจึงชื่อว่า พฺยามปฺปภา อธิบายว่า เหมือนพระรัศมีวาหนึ่งของพระผู้มีพระภาคเจ้าของเรา.
น อักษรในคำว่า น เกจิ นี้ เป็นปฏิเสธัตถะ [ความปฏิเสธ] พึง
เห็นการเชื่อมความของ น อักษรนั้น กับศัพท์ว่า อุชฺชาเลนฺติ.
บทว่า อุกฺกา ได้แก่ ประทีปมีด้าม.
ชนบางพวกไม่ยังคบเพลิงหรือดวงประทีปให้ติดโพลงไม่ให้ลุกโพลงได้.
ถ้าจะถามว่า เพราะเหตุไร.
ก็ตอบได้ว่า เพราะแสงสว่างของพระรัศมีแห่งพระพุทธสรีระ.
บทว่า พุทฺธรํสีหิ แปลว่า พระพุทธรัศมีทั้งหลาย.
บทว่า โอตฺถฏา ได้แก่ ทับไว้.
บทว่า อุฬูหิ แปลว่า ดวงดาวทั้งหลาย ความว่า ท้องฟ้างามวิจิตร
ด้วยดวงดาวทั้งหลาย ฉันใด พระศาสนาของพระนารทพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ก็งดงามวิจิตรด้วยพระอรหันต์ทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกัน.
บทว่า สํสารโสตํ ตรณาย ได้แก่ เพื่อข้ามสาครคือสังสารวัฏ.
บทว่า เสสเก ปฏิปนฺนเก ความว่า ยังเสกขบุคคลที่เหลือกับกัลยาณปุถุชน
เว้นพระอรหันต์ทั้งหลาย.
บทว่า ธมฺมเสตุํ ได้แก่ สะพานคือมรรค.
ความว่า ทรงตั้งสะพานธรรมเพื่อยังบุคคลที่เหลือให้ข้ามจากสังสารวัฎ
ทรงทำกิจทุกอย่างเสร็จแล้ว ก็ปรินิพพาน.
คำที่เหลือ ง่ายทั้งนั้น เพราะกล่าวไว้แล้วแต่หนหลัง แล.
จบพรรณนาวงศ์พระนารทพุทธเจ้า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 458

66

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 424
๘. วงศ์พระปทุมพุทธเจ้าที่ ๘
ว่าด้วยพระประวัติของพระปทุมพุทธเจ้า

[๙] ต่อจากสมัยของพระอโนมทัสสีพุทธเจ้า
พระปทุมสัมพุทธเจ้า ผู้เป็นยอดของสัตว์สองเท้า ผู้ไม่มีผู้เสมอ ไม่มีผู้เทียบ.
ทั้งศีลของพระองค์ไม่มีอะไรเสมอ ทั้งสมาธิ ก็ไม่มีที่สุด
ทั้งพระญาณอันประเสริฐก็นับไม่ได้
ทั้งวิมุตติก็ไม่มีอะไรเปรียบ.
อภิสมัย อันลอยเสียซึ่งความมืดใหญ่ของพระองค์ผู้มีพระเดชอันชั่งไม่ได้
ในการประกาศพระธรรมจักรมี ๓ ครั้ง.
อภิสมัยครั้งที่ ๑ พระพุทธเจ้าทรงยังสัตว์ร้อยโกฏิให้ตรัสรู้
อภิสมัยครั้งที่ ๒ พระจอมปราชญ์ทรงยังสัตว์เก้าสิบโกฏิให้ตรัสรู้.
ครั้งพระปทุมพุทธเจ้า ทรงโอวาทพระโอรสของพระองค์เอง
อภิสมัยครั้งที่ ๓ ได้มีแก่สัตว์แปดสิบโกฏิ.

พระปทุมพุทธเจ้า ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่
ทรงมีสันนิบาตประชุมพระสาวก ๓ ครั้ง
ครั้งที่ ๑ เป็นการประชุมสาวกแสนโกฏิ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 425
เมื่อกฐินจีวรเกิดขึ้น ในสมัยกรานกฐิน
ภิกษุทั้งหลายช่วยกันเย็บจีวร
เพื่อ พระสาลเถระ พระธรรมเสนาบดี.
ครั้งนั้น ภิกษุเหล่านั้น
ผู้ไร้มลทิน มีอภิญญา ๖มีฤทธิ์มาก
ไม่แพ้ใคร จำนวนสามแสนโกฏิ ก็ประชุมกัน.
ต่อมาอีก
พระนราสภพระองค์นั้น เสด็จเข้าจำพรรษา ณ ป่าใหญ่
ครั้งนั้น เป็นการประชุมพระสาวกสองแสนโกฏิ.

สมัยนั้น เราเป็นราชสีห์เจ้าแห่งมฤค
ได้เห็นพระชินพุทธเจ้า ซึ่งกำลังเพิ่มพูนความสงัด ในป่าใหญ่.
เราใช่เศียรเกล้าถวายบังคมพระบาท ทำประทักษิณพระองค์
บันลือสีหนาท ๓ ครั้ง บำรุงพระชินพุทธเจ้า ๗ วัน.
๗ วัน พระตถาคตทรงออกจากนิโรธสมาบัติ
ทรงพระดำริด้วยพระหฤทัย ก็ทรงนำภิกษุมานับโกฏิ.

แม้ครั้งนั้น พระมหาวีระก็ทรงพยากรณ์เราท่ามกลางภิกษุเหล่านั้นว่า
ผู้นี้จักเป็นพระพุทธเจ้าในกัปที่หาประมาณมิได้ นับแต่กัปนี้ไป.
พระตถาคต ออกอภิเนษกรมณ์จากกรุงกบิลพัศดุ์ที่น่ารื่นรมย์ ตั้งความเพียร ทำทุกกรกิริยา.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 426
ตถาคตประทับนั่ง ณ โคนต้นอชปาลนิโครธ
ทรงรับข้าวมธุปายาส ณ ที่นั้นแล้ว เข้าไปยังแม่น้ำเนรัญชรา.
พระชินพุทธเจ้าพระองค์นั้น เสวยข้าวมธุปายาส ณ ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา
เสด็จไปตามทางอันดีที่จัดแต่งแล้ว เข้าไปที่โคนโพธิพฤกษ์.
แต่นั้น พระผู้มีพระยศใหญ่ ก็ทำประทักษิณโพธิมัณฑสถานอันยอดเยี่ยม
ตรัสรู้ ณ โคนโพธิพฤกษ์ชื่อต้นอัสสัตถะ.

ผู้นี้จักมีพระชนนี พระนามว่า พระนางมายา
พระชนกพระนามว่า พระเจ้าสุทโธทนะ
ผู้นี้จักมีพระนามว่า โคตมะ.
จักมีพระอัครสาวกชื่อว่า พระโกลิตะ และพระอุปติสสะ
ผู้ไม่มีอาสวะ ปราศจากราคะ มีจิตสงบตั้งมั่น
พระพุทธอุปัฏฐากชื่อว่าพระอานันทะ จักบำรุงพระชินเจ้าผู้นี้.
จักมีพระอัครสาวิกา ชื่อว่า พระเขมา และพระอุบลวรรณา
ผู้ไม่มีอาสวะ ปราศจากราคะ มีจิตสงบตั้งมั่น.
โพธิพฤกษ์ของ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นเรียกว่าต้นอัสสัตถะ
อัครอุปัฏฐาก ชื่อว่า จิตตะ และหัตถะอาฬวกะ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 427
อัครอุปัฏฐายิกา ชื่อว่า นันทมาตาและอุตตรา.
พระโคดม ผู้มีพระยศ มีพระชนมายุ ๑๐๐ ปี.
มนุษย์และเทวดาทั้งหลาย ฟังพระดำรัสนี้ของ
พระปทุมพุทธเจ้า ที่ไม่มีผู้เสมอ ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่
ก็พากันปลาบปลื้มใจว่า ผู้นี้เป็นหน่อพุทธางกูร.
หมื่นโลกธาตุทั้งเทวโลก ก็พากันโห่ร้องปรบมือ
หัวร่อร่าเริง ประคองอัญชลีนมัสการกล่าวว่า
ผิว่า พวกเราจักพลาดคำสั่งสอน ของพระโลกนาถพระองค์นี้ไซร้
ในอนาคตกาลพวกเราก็จักอยู่ต่อหน้าของท่านผู้นี้.

มนุษย์ทั้งหลาย เมื่อข้ามแม่น้ำ พลาดท่าน้ำข้าง
หน้า ก็ถือเอาท่าน้ำข้างหลัง ข้ามแม่น้ำใหญ่ ฉันใด.
พวกเราทั้งหมด ผิว่า จะผ่านพ้นพระชินพุทธเจ้า
พระองค์นี้ไซร้ ในอนาคตกาล
พวกเราก็จักอยู่ต่อหน้าของท่านผู้นี้ ฉันนั้นเหมือนกัน.
เราฟังพระดำรัสของพระองค์แล้ว ก็ยิ่งเลื่อมใส
จึงอธิษฐานข้อวัตรยิ่งยวดขึ้นไป เพื่อบำเพ็ญบารมีใหญ่บริบูรณ์.

พระปทุมพุทธเจ้า ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่
ทรงมีพระนครชื่อว่า จัมปกะ
พระชนกพระนามว่า พระเจ้าอสมะ
พระชนนีพระนามว่า พระนางอสมา.
พระองค์ครองฆราวาสวิสัย หมื่นปี
มีปราสาทชั้นเยี่ยม ๓ หลัง ชื่อ นันทะ วสุ และ ยสัตตระ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 428
มีพระสนมนารี ที่แต่งกายงาม สามหมื่นสามพันนาง
มีพระอัครมเหสี พระนามว่า พระนางอุตตรา
พระโอรสพระนามว่า รัมมะ.
พระชินพุทธเจ้าทรงเห็นนิมิต ๔
เสด็จออกอภิเนษกรมณ์ ด้วยยานคือ รถ
ทรงตั้งความเพียร ๘ เดือนเต็ม.

พระมหาวีระ ปทุมพุทธเจ้า ผู้นำโลก ผู้สงบ
อันท้าวมหาพรหมอาราธนาแล้ว
ทรงประกาศพระธรรมจักร ณ ธนัญชัยราชอุทยาน อันสูงสุด.

พระปทุมพุทธเจ้า ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่
มีพระอัครสาวชื่อว่า พระสาละ และ พระอุปสาละ
พระพุทธอุปัฏฐา ชื่อว่า พระวรุณะ.
มีพระอัครสาวิกาชื่อว่าพระราชา และพระสุราธา
โพธิพฤกษ์ของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นเรียกว่า
ต้นมหาโสณะ (ไม้อ้อยช้างใหญ่).
มีอัครอุปัฏฐากชื่อว่า สภิยะ และ อสมะ
มีอัครอุปัฏฐายิกา ชื่อว่า รุจิ และ นันทิมารา.
พระมหามุนีสูง ๕๘ ศอก
พระรัศมีของพระองค์ไม่มีอะไรเสมอ แล่นออกไปทุกทิศ.
แสงจันทร์ แสงอาทิตย์ แสงรัตนะ แสงไฟและแสงมณี เหล่านั้น
พอถึงรัศมีพระชินเจ้าอันสูงสุดก็ถูกกำจัดไปสิ้น.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 429
ในยุคนั้น มนุษย์มีอายุแสนปี พระองค์ทรงมี
พระชนม์ยืนถึงเพียงนั้น จึงทรงยังหมู่ชนเป็นอันมากให้ข้ามโอฆสงสาร.
พระปทุมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทั้งพระสาวก ยัง
เวไนยสัตว์ ผู้มีอินทรีย์แก่กล้าแล้วให้ตรัสรู้ไม่เหลือ
เลย ส่วนที่เหลือ ก็ทรงพร่ำสอน แล้วก็ดับขันธปรินิพพาน.
พระองค์ทรงละสังขารทุกอย่าง เหมือนงูลอก
คราบ เหมือนต้นไม้สลัดใบเก่า แล้วก็ดับขันธปรินิพพาน เหมือนดวงไฟ ฉะนั้น.

พระปทุมศาสดา พระชินะผู้ประเสริฐ
ดับขันธปรินิพพาน ณ พระวิหาร ธัมมาราม
พระบรมสารีริกธาตุ ก็แผ่กระจายไปเป็นส่วนๆ ณ ประเทศนั้น ๆ.
จบวงศ์พระปทุมพุทธเจ้าที่ ๘
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 430

พรรณนาวงศ์พระปทุมพุทธเจ้าที่ ๘
ต่อจากสมัยของพระผู้มีพระภาคเจ้าอโนมทัสสี
มนุษย์ทั้งหลายมีอายุแสนปีแล้วลดลงโดยลำดับจนมีอายุ ๑๐ ปี
แล้วเพิ่มขึ้นโดยลำดับอีก จนมีอายุแสนปี.
ครั้งนั้น พระศาสดาพระนามว่า ปทุม ทรงอุบัติขึ้นในโลก.
แม้พระศาสดาพระองค์นั้น ก็ทรงบำเพ็ญบารมี บังเกิดขึ้นสวรรค์ชั้นดุสิต
จุติจากนั้นแล้ว ก็ถือปฏิสนธิในพระครรภ์ของพระนางอสมา ผู้ที่ไม่มีผู้เสมอด้วย
พระรูปเป็นต้น อัครมเหสีในราชสกุลของ พระเจ้าอสมราช กรุงจัมปกะ.
ครบกำหนดทศมาแล้ว พระองค์ก็ประสูติจากพระครรภ์ของพระชนนี ณ จัมปกะราชอุทยาน.
เมื่อพระกุมารสมภพ ฝนปทุมหล่นจากอากาศตกลงที่ท้าย มหาสมุทรทั่วชมพูทวีป.
ด้วยเหตุนั้น ในวันขนานพระนามพระกุมารนั้น
พวกโหรและเหล่าพระประยูรญาติ จึงขนานพระนามว่า มหาปทุมกุมาร

พระองค์ทรงครองฆราวาสวิสัยอยู่หมื่นปี
ทรงมีปราสาท ๓ หลัง ชื่อว่านันทุตตระ วสุตตระ และยสุตตระ.
ปรากฏ พระสนมนารีสามหมื่นสามพันนาง
มีพระนางอุตตราเทวีเป็นประมุข.

ครั้งนั้น พระมหาสัตว์ เมื่อ รัมมราชกุมาร ของพระนางอุตตรามหาเทวีสมภพ
ก็ทรงเห็นนิมิต ๔ เสด็จออกอภิเนษกรมณ์ด้วย รถเทียมม้า
บุรุษโกฏิหนึ่งบวชตามเสด็จพระมหาสัตว์ซึ่งทรงผนวชอยู่นั้น
พระมหาสัตว์อันบุรุษเหล่านั้นแวดล้อมแล้ว
ทรงบำเพ็ญเพียรอยู่ ๘ เดือน
ในวันวิสาขบูรณมีเสวยข้าวมธุปายาส
ซึ่ง นางธัญญวดี ธิดาของ สุธัญญเศรษฐี กรุงธัญญวดีถวายแล้ว

ทรงยับยั้งพักกลางวัน ณ มหาสาลวัน
เวลาเย็นทรงรับหญ้า ๘ กำซึ่ง ติตถกะอาชีวก ถวาย
แล้วเสด็จเข้าไปยังโพธิพฤกษ์ชื่อต้นมหาโสณะ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 431
ไม้อ้อยช้างใหญ่ ทรงลาดสันถัตหญ้ากว้าง ๓๘ ศอก
ประทับนั่งขัดสมาธิอธิษฐานความเพียรมีองค์ ๔
ทรงกำจัดกองกำลังมาร
ทรงทำให้แจ้งวิชชา ๓ ในยามทั้ง ๓
ทรงเปล่งพระอุทานว่า อเนกชาติสํสารํ ฯลฯ ตณฺหานํ ขยมชฺฌคา
ทรงยับยั้งอยู่ใกล้โพธิพฤกษ์ ๗ สัปดาห์ ทรงรับอาราธนาท้าวมหาพรหม
ทรงตรวจดูบุคคลซึ่งเป็นภาชนะรองรับพระธรรมเทศนา
ทรงเห็นภิกษุจำนวนโกฏิซึ่งบวชกับพระองค์
ในทันใด ก็เสด็จไปทางอากาศลง ณ ธนัญชัยราชอุทยาน
ใกล้กรุงธัญญวดี อันภิกษุเหล่านั้นแวดล้อมแล้ว
ทรงประกาศพระธรรมจักรท่ามกลางภิกษุเหล่านั้น.
ครั้งนั้น อภิสมัยได้มีแก่สัตว์ร้อยโกฏิ

ด้วยเหตุนั้นจึงตรัสว่า
ต่อจากสมัยของพระอโนมทัสสีพุทธเจ้า

พระสมัยพุทธเจ้าพระนามว่า ปทุม
เป็นยอดของสัตว์สองเท้า ไม่มีผู้เสมอ ไม่มีผู้เทียบ.
ทั้งศีลของพระองค์ก็ไม่มีอะไรเสมอ ทั้งสมาธิก็ไม่มีที่สุด
ทั้งพระญาณอันประเสริฐ ก็นับไม่ได้ทั้งวิมุตติ ก็ไม่มีอะไรเปรียบ.
ในการประกาศพระธรรมจักรของพระองค์ ผู้มีพระเดชที่ชั่งไม่ได้
อภิสมัยการตรัสรู้ ที่เป็นเครื่องลอยความมืดอย่างใหญ่ มี ๓ ครั้ง.

แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น
บทว่า อสมํ สีลํ ได้แก่ ไม่เสมือนด้วยศีลของผู้อื่น อธิบายว่า สูงสุด ประเสริฐสุด.
บทว่า สมาธิปิ อนนฺตโก ได้แก่ ทั้งสมาธิ ก็หาประมาณมิได้.
ความที่สมาธินั้น ไม่มีที่สุด พึงเห็นในยมกปาฏิหาริย์เปิดโลกเป็นต้น.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 432
บทว่า ญาณวรํ ได้แก่ พระสัพพัญญุตญาณ หรือพระอสาธารณญาณทั้งหลาย.
บทว่า วิมุตฺติปิ ได้แก่ แม้พระอรหัตผลวิมุตติของพระผู้มีพระภาคเจ้า.
บทว่า อนูปมา ได้แก่ เว้นที่จะเปรียบได้.
บทว่า อตุลเตชสฺส ได้แก่ ผู้มีพระเดชคือญาณอันชั่งมิได้.
ปาฐะว่าอตุลญาณเตชา ดังนี้ก็มี.
ปาฐะนั้น พึงเห็นว่าเชื่อมความกับบทหลังนี้ว่า ตโย อภิสมยา.
บทว่า มหาตมปวาหนา ได้แก่ ยังโมหะใหญ่ให้พินาศ อธิบายว่า กำจัดความมืดคือโมหะ.

สมัยต่อมา
พระผู้มีพระภาคเจ้าปทุมทรงให้สาลกุมารและอุปสาลกุมาร
พระกนิษฐภาดาของพระองค์บรรพชาในสมาคมพระประยูรญาติ
พร้อมทั้งบริวาร เมื่อทรงแสดงธรรมโปรดชนเหล่านั้น
ทรงยังสัตว์เก้าสิบโกฏิให้ดื่มอมตธรรม
ก็ครั้งที่ทรงแสดงธรรมโปรดพระธัมมเถระ อภิสมัยก็ได้มีแก่สัตว์แปดสิบโกฏิ.

ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
อภิสมัยครั้งที่ ๑ พระพุทธเจ้าทรงยังสัตว์ร้อยโกฏิให้ตรัสรู้
อภิสมัยครั้งที่ ๒ พระจอมปราชญ์ทรงยังสัตว์ให้ตรัสรู้เก้าสิบโกฏิ.

ครั้งที่พระปทุมพุทธเจ้า
ทรงโอวาทพระโอรสของพระองค์
อภิสมัยครั้งที่ ๓ ได้มีแก่สัตว์แปดสิบโกฏิ.

ครั้งนั้น พระเจ้าสุภาวิตัตตะ มีราชบริพารแสนโกฏิ
ทรงผนวชด้วยเอหิภิกขุบรรพชา ในสำนักของพระปทุมพุทธเจ้า
ผู้มีพระพักตร์ดังดอกปทุมบาน.
ในสันนิบาตนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงยกปาติโมกข์ขึ้นแสดงนั้นเป็นสันนิบาตครั้งที่ ๑.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 433

สมัยต่อมา พระมหาปทุมพุทธเจ้า
มุนีผู้เลิศผู้มีคติเสมอด้วยโคอุสภะ
ทรงอาศัยกรุงอสุภวดีเข้าจำพรรษา พวกมนุษย์ชาวนครประสงค์จะเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้า
จึงพากันเข้าไปเฝ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงธรรมโปรดชนเหล่านั้น.
มนุษย์เป็นอันมากในที่นั้น มีจิตเลื่อมใส ก็พากันบวช
แต่นั้นพระทศพลทรงปวารณาเป็นวิสุทธิปวารณากันภิกษุเหล่านั้น
และภิกษุสามแสนอื่น ๆ นั้นเป็นสันนิบาตครั้งที่ ๒.
ส่วนชนเหล่าใดยังไม่บวชในครั้งนั้น
ชนเหล่านั้น ฟังอานิสงส์กฐินแล้ว ก็พากันถวายกฐินจีวรที่ให้อานิสงส์ ๕
ในวันปาฏิบท ๕ เดือน.
แต่นั้น ภิกษุทั้งหลายอ้อนวอนพระสาลเถระ
พระธรรมเสนาบดีอัครสาวก ผู้มีปัญญาไพศาลนั้น เพื่อกรานกฐิน
ได้ถวายกฐินจีวรแก่พระสาลเถระนั้น.
เมื่อกฐินจีวรของพระเถระอันภิกษุทั้งหลายทำกันอยู่ ภิกษุทั้งหลายก็เป็นสหายช่วยกันเย็บ.

ฝ่ายพระปทุมสัมมาสัมพุทธเจ้า
ทรงร้อยด้ายเข้ารูเข็มประทาน เมื่อจีวรสำเร็จแล้ว
พระผู้มีพระภาคเจ้าก็เสด็จจาริกหลีกไปพร้อมด้วยภิกษุสามแสน.

สมัยต่อมา
พระพุทธสีหะ ประดุจบุรุษสีหะผู้ดำเนินไปด้วยความองอาจดังราชสีห์
เสด็จเข้าจำพรรษา ณ ป่าใหญ่ ที่มีดอกไม้หอมอย่างยิ่งมีผลไม้เป็นพวงมีกิ่งก้านอันอ่อนโน้ม
มีค่าคบไม้ เสมือนป่าโคสิงคสาลวัน บริบูรณ์ด้วยห้วงน้ำที่เย็นอร่อย
ประดับด้วยบัวก้านบัวสายไร้มลทิน
เป็นที่สัญจรของหมู่เนื้อเช่นกวาง จามรี ราชสีห์ เสือ ช้าง ม้า โค กระบือเป็นต้น
อันฝูงแมลงภู่และผึ้งสาว ที่มีใจติดกลิ่นดอกไม้อันหอมกรุ่น บินตอมว่อนเป็นฝูง ๆ
โดยรอบ อันเหล่านางนกดุเหว่า มีใจเบิกบานด้วยรสผลไม้ ส่งเสียงร้องไพเราะ
แผ่วเบาคล้ายขับกล่อมอยู่ น่ารื่นรมย์อย่างยิ่ง
สงัดปราศจากผู้คน เหมาะแก่การประกอบความเพียร.
พระตถาคตทศพล พระธรรมราชาพร้อมทั้งบริวารประทับอยู่ ณ ป่าใหญ่นั้น
รุ่งโรจน์ด้วยพระพุทธสิริ มนุษย์ทั้งหลายเห็นแล้ว
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 434
ฟังธรรมของพระองค์ก็เลื่อมใส พากันบวชด้วยเอหิภิกขุบรรพชา.
ครั้งนั้น พระองค์อันภิกษุสองแสนแวดล้อมแล้ว
ก็ทรงปวารณาพรรษา นั้นเป็นสันนิบาตครั้งที่ ๓.

ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า

พระปทุมพุทธเจ้า ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่ ทรงมีสันนิบาต ๓ ครั้ง
ครั้งที่ ๑ เป็นการประชุมภิกษุแสนโกฏิ.
ในสมัยกรานกฐิน เมื่อกฐินจีวรเกิดขึ้น ภิกษุทั้งหลายเย็บจีวร เพื่อพระธรรมเสนาบดี.
ครั้งนั้น ภิกษุเหล่านั้น ไร้มลทิน มีอภิญญา ๖มีฤทธิ์มาก ไม่แพ้ใคร
จำนวนสามแสนโกฏิประชุมกัน.

ต่อมาอีก
พระนราสภพระองค์นั้น เสด็จเข้าจำพรรษา ณ ป่าใหญ่
ครั้งนั้นเป็นการประชุมภิกษุสองแสนโกฏิ.
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น
บทว่า กฐินตฺถารสมเย ได้แก่ ในสมัยกรานกฐินจีวร.
บทว่า ธมฺมเสนาปติตฺถาย ได้แก่ เพื่อพระสาลเถระพระธรรมเสนาบดี.
บทว่า อปราชิตา ได้แก่ น ปราชิตา อันใคร ๆ ให้แพ้ไม่ได้.พึงเห็นว่า ลบวิภัตติ.
บทว่า โส ได้แก่ พระปทุมพุทธเจ้าพระองค์นั้น.
บทว่า ปวเน แปลว่า ป่าใหญ่.
บทว่า วาสํ ได้แก่ อยู่จำพรรษา.
บทว่า อุปาคมิ แปลว่า เข้า.
บทว่า ทฺวินฺนํ สตสหสฺสินํ แปลว่า สองแสน.
ปาฐะว่า ตทา อาสิ สมาคโม ดังนี้ก็มี. ผิว่า มีได้ก็ดี.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 435
ครั้งนั้น เมื่อพระตถาคตประทับอยู่ ไพรสณฑ์นั้น
พระโพธิสัตว์ของเราเป็นราชสีห์
เห็นพระองค์ประทับนั่งเข้านิโรธสมาบัติ ๗ วัน ก็มีจิตเลื่อมใส
ทำประทักษิณ เกิดปีติโสมนัส บันลือสีหนาท ๓ ครั้ง ไม่ละปีติ
ที่มีพุทธคุณเป็นอารมณ์ ๗ วัน ด้วยปีติสุขนั่นแล ก็ไม่ออกหาเหยื่อ
ยอมสละชีวิต ยืนอยู่ใกล้ ๆ.
ครั้งนั้น ล่วงไป ๗ วัน
พระศาสดาก็ออกจากนิโรธสมาบัติ ผู้เป็นสีหะในนรชน
ทรงตรวจดูราชสีห์ ทรงพระดำริว่า ขอราชสีห์นั้น จงมีจิตเลื่อมใสแม้ในภิกษุสงฆ์
ขอสงฆ์จงมา ภิกษุหลายโกฏิก็พากันมาทันทีทันใด
ราชสีห์ก็ยังจิตให้เลื่อมใสในพระสงฆ์.
ครั้งนั้น พระศาสดาทรงตรวจดูจิตของราชสีห์นั้น
ก็ทรงพยากรณ์ว่า
ในอนาคตกาล ราชสีห์ตัวนี้ จักเป็นพระพุทธเจ้า พระนามว่า โคตมะ.
ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
สมัยนั้น เราเป็นราชสีห์เจ้ามฤค
ได้เห็นพระชินพุทธเจ้า ผู้เพิ่มพูนความสงัดอยู่ในป่าใหญ่.
เราใช้เศียรเกล้าบังคมพระบาท ทำประทักษิณ
พระองค์ บันลือสีหนาท ๓ ครั้ง เฝ้าพระชินพุทธเจ้า ๗ วัน.
๗ วัน พระตถาคตก็ทรงออกจากนิโรธ
ทรงดำริด้วยพระหฤทัย นำภิกษุมานับโกฏิ.

แม้ครั้งนั้น พระมหาวีระพระองค์นั้น
ก็ทรงพยากรณ์เราท่ามกลางภิกษุเหล่านั้นว่า
ผู้นี้จักเป็นพระพุทธเจ้า ในกัปที่หาประมาณมิได้ นับแต่กัปนี้ไป.
พระตถาคตตั้งความเพียร ฯ ล ฯ จักอยู่ต่อหน้าของท่านผู้นี้.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 436
เราฟังพระดำรัสของพระองค์แล้ว
ก็ยิ่งเลื่อมใสอธิษฐานข้อวัตรยิ่งยวดขึ้นไป
เพื่อบำเพ็ญบารมีให้บริบูรณ์.
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น
บทว่า ปวิเวกมนุพฺรูหนฺตํ ได้แก่ ทรงเข้านิโรธสมาบัติ.
บทว่า ปทกฺขิณํ ได้แก่ ทำประทักษิณ ๓ ครั้ง.
บทว่า อภินาทิตฺวา ได้แก่ บันลือสีหนาท ๓ ครั้ง.
บทว่า อุปฏฺฐหํ แปลว่า บำรุง.
อีกอย่างหนึ่ง ปาฐะก็อย่างนี้เหมือนกัน.
บทว่า วรสมาปตฺติยา ได้แก่ ออกจากนิโรธสมาบัติ.
บทว่า มนสา จินฺตยิตฺวาน ความว่า ทรงพระดำริทางพระหฤทัยว่า ภิกษุทั้งหมดจงมาที่นี้.
บทว่า สมานยิ แปลว่า นำมาแล้ว.

พระผู้มีพระภาคเจ้า ปทุมะ พระองค์นั้น
ทรงมีพระนคร ชื่อว่า จัมปกะ
พระชนกพระนามว่า พระเจ้าอสมะ
พระชนนีพระนามว่า พระนางอสมา
คู่พระอัครสาวกชื่อว่า พระสาละ และ พระอุปสาละ.
พุทธอุปัฏฐาก ชื่อว่า พระวรุณะ
คู่พระอัครสาวิกา ชื่อว่า พระราธา และพระสุราธา.
โพธิพฤกษ์ ชื่อว่า ต้นมหาโสณะ อ้อยช้างใหญ่.
พระสรีระสูง ๕๘ ศอก
พระชนมายุแสนปี.
พระอัครมเหสี พระนามว่า พระนางอุตตรา
ผู้ยอดเยี่ยมด้วยคุณมีพระรูปเป็นต้น
พระโอรสของพระองค์น่ารื่นรมย์ยิ่ง พระนามว่า พระรัมมกุมาร.
ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
พระปทุมพุทธเจ้า ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่
มีพระนครชื่อว่า จัมปกะ
พระชนกพระนามว่า พระเจ้าอสมะ
พระชนนีพระนามว่า พระนางอสมา.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 437
พระปทุมพุทธเจ้า ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่
มีพระอัครสาวก ชื่อว่า พระสาละ และ พระอุปสาละ
พระพุทธอุปัฏฐาก ชื่อว่า วรุณะ.
พระอัครสาวิกา ชื่อว่า พระราชา และพระสุราธา
โพธิพฤกษ์ของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น เรียกว่าต้นมหาโสณะ.
พระมหามุนี ทรงสูง ๕๘ ศอก
พระรัศมีของพระองค์ไม่มีอะไรเสมอ แล่นออกไปทุกทิศ.
แสงจันทร์ แสงอาทิตย์ แสงรัตนะ แสงไฟแสงมณี แสงเหล่านั้น
พอถึงพระรัศมีของพระชินพุทธเจ้าอันสูงสุด ก็ถูกกำจัดไปสิ้น.

ในยุคนั้น มนุษย์มีอายุแสนปี
พระปทุมพุทธเจ้า พระองค์นั้น ทรงมีพระชนม์ยืนถึงเพียงนั้น
จึงทรงยังหมู่ชนเป็นอันมากให้ข้ามโอฆสงสาร.
พระองค์ทรงพระสาวก ยังสัตว์ทั้งหลายที่ใจอัน
กุศลอบรมให้แก่กล้าแล้วให้ตรัสรู้ ไม่เหลือเลย
ส่วนที่เหลือ ก็ทรงพร่ำสอนแล้วเสด็จดับขันธ์ ปรินิพพาน.
พระองค์ทรงละสังขารทั้งปวง เหมือนงูละคราบเก่า
เหมือนต้นไม้สลัดใบเก่า แล้วดับขันธปรินิพพานเหมือนดวงไฟ.
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น
บทว่า รตนคฺคิมณิปฺปภา ได้แก่ แสงรัตนะแสงไฟ และ แสงแก้วมณี.
บทว่า หตา ได้แก่ ถูกครองงำ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 438
บทว่า ชินปภุตฺตมํ ความว่า ถึงพระรัศมีแห่งพระสรีระของพระชินพุทธเจ้าที่รุ่งเรืองยิ่งก็ถูกกำจัด.
บทว่า ปริปกฺกมานเส ได้แก่ เวไนยสัตว์ ผู้มีอินทรีย์แก่กล้า.
บทว่า วฑฺฒปตฺตํ แปลว่า ใบเก่า.
บทว่า ปาทโปว ก็คือ ปาทโป วิยเหมือนต้นไม้.
บทว่า สพฺพสงฺขาเร ได้แก่ สังขารภายในภายนอกทุกอย่าง.
ปาฐะว่า หิตฺวา สพฺพสงฺขารํ ดังนี้ก็มี. ความก็อย่างนั้นเหมือนกัน.
บทว่า ยถา สิขี ความว่า เสด็จถึงอย่างดีซึ่งความดับเหมือนไฟไม่มีเชื้อ.
คำที่เหลือในที่นี้ ก็ง่ายทั้งนั้น เพราะมีนัยที่กล่าวมาแล้วในหนหลัง ในคาถาทั้งหลายแล.
จบพรรณนาวงศ์พระปทุมพุทธเจ้า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 439


67

๗. วงศ์พระอโนมทัสสีพุทธเจ้าที่ ๗

ว่าด้วยพระประวัติของพระอโนมทัสสีพุทธเจ้า
[๘] ต่อจากสมัยของพระโสภิตพุทธเจ้า
พระอโนมทัสสีสัมพุทธเจ้า ผู้เป็นยอดแห่งสัตว์สองเท้า
มีพระยศหาประมาณมิได้ มีพระเดชอันใครล่วงละเมิดได้ยาก.
พระองค์ทรงตัดเครื่องผูกทั้งปวง ทรงรื้อภพทั้งสาม
ทรงแสดงบรรดาเครื่องไปไม่กลับ สำหรับเทวดาและมนุษย์.
พระองค์ไม่กระเพื่อมดุจสาคร อันใคร ๆ เฝ้าได้
ยากดุจบรรพต มีพระคุณไม่มีที่สุดดุจอากาศ
ทรงบานเต็มที่ดุจพระยาสาลพฤกษ์.
แม้ด้วยเพียงเห็นพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น
สัตว์ทั้งหลายก็ยินดี สัตว์เหล่านั้น ได้ฟังพระดำรัสของ
พระองค์ซึ่งกำลังตรัสอยู่ ก็บรรลุอมตธรรม.

พระองค์มีธรรมาภิสมัย สำเร็จเจริญไปในครั้งนั้น
ทรงแสดงธรรมครั้งที่ ๑ สัตว์ร้อยโกฏิก็ได้ตรัสรู้.
เมื่อพระองค์ทรงหลั่งฝนคือธรรม ตกลงในอภิสมัย ต่อจากครั้งที่ ๑ นั้น
ทรงแสดงธรรมครั้งที่ ๒ สัตว์แปดสิบโกฏิ ก็ตรัสรู้.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 409
เมื่อพระองค์หลั่งฝนธรรม ต่อจากอภิสมัยครั้งที่ ๒ นั้น ยังสัตว์ทั้งหลายให้อิ่ม
อภิสมัยครั้งที่ ๓ ก็ได้มีแต่สัตว์เจ็ดสิบแปดโกฏิ.

พระอโนมทัสสีพุทธเจ้า ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่พระองค์นั้น มีสันนิบาต
ประชุมพระอรหันต์ผู้ถึงกำลังแห่งอภิญญา ผู้บานเต็มที่แล้วด้วยวิมุตติ ๓ ครั้ง.
[ครั้งที่ ๑] เป็นการประชุมพระอรหันต์แปดแสน
ผู้ละความเมาและโมหะ มีจิตสงบ ผู้คงที่.
ครั้งที่ ๒ เป็นการประชุมพระอรหันต์เจ็ดแสน
ผู้ไม่มีกิเลส ปราศจากกิเลสธุลี ผู้สงบคงที่.
ครั้งที่ ๓ เป็นการประชุม พระอรหันต์หกแสน
ผู้ถึงกำลังแห่งอภิญญา ผู้เย็นสนิทมีตบะ.

สมัยนั้น เราเป็นยักษ์มีฤทธิ์ เป็นใหญ่ มีอำนาจเหนือยักษ์หลายโกฏิ.
แม้ครั้งนั้น เราเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐ ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่พระองค์นั้น
เลี้ยงดูพระผู้นำโลกพร้อมทั้งพระสงฆ์ให้อิ่มหนำสำราญ.
พระมุนี ผู้มีพระจักษุบริสุทธิ์แม้พระองค์นั้น
ก็ทรงพยากรณ์เราว่า ท่านผู้นี้ จักเป็นพระพุทธเจ้า ในกัปที่หาประมาณมิได้ นับแต่กัปนี้ไป.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 410
พระตถาคตเสด็จออกอภิเนษกรณ์ จากกรุงกบิลพัสดุ์ ที่น่ารื่นรมย์
ทรงตั้งความเพียรทำทุกกรกิริยา.
พระตถาคต ประทับนั่ง ณ โคนต้นอชปาลนิโครธ
ทรงรับข้าวมธุปายาสในที่นั้นแล้ว เสด็จเข้าไปยังแม่น้ำเนรัญชรา.
พระชินพุทธเจ้าพระองค์นั้น เสวยข้าวมธุปายาสริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา
เสด็จดำเนินตามทางอันดีที่เขาจัดแต่งแล้ว เข้าไปที่โคนโพธิพฤกษ์.
แต่นั้น พระผู้มีพระยศใหญ่
ทรงทำประทักษิณโพธิมัณฑสถานอันยอดเยี่ยมแล้ว
ตรัสรู้ ณ โคนโพธิพฤกษ์ชื่อ ต้นอัสสัตถะ.

ท่านผู้นี้ จักมีพระชนนี พระนามว่าพระนางมายา
พระชนกพระนามว่าพระเจ้าสุทโธทนะ
ท่านผู้นี้พระนามว่าโคตมะ.
พระอัครสาวก ชื่อว่า พระโกลิตะและพระสารีบุตร
ผู้ไม่มีอาสวะ ปราศจากราคะ มีจิตสงบ ตั้งมั่น
พระพุทธอุปัฏฐาก ชื่อว่า อานันทะ จักบำรุงพระชินเจ้าพระองค์ นี้.
พระอัครสาวิกา ชื่อว่า พระเขมาและพระอุบลวรรณา
ผู้ไม่มีอาสวะ มีจิตสงบ ตั้งมั่น
โพธิพฤกษ์ของพระผู้มีพระภาคเข้าพระองค์นั้นเรียกว่า ต้นอัสสัตถะ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 411
อัครอุปัฏฐาก ชื่อว่า จิตตะ และ หัตถะอาฬวกะ
อัครอุปัฏฐายิกา ชื่อว่า นันทมาตา และ อุตตรา
พระโคตมพุทธเจ้าผู้มีพระยศพระองค์นั้น มีพระชนมายุ ๑๐๐ ปี.
มนุษย์และเทวดาได้ฟังพระดำรัสนี้
ของพระอโนมทัสสีพุทธเจ้า ผู้ไม่มีผู้เสมอ ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่แล้ว
ก็ปลาบปลื้มใจว่า ท่านผู้นี้เป็นหน่อพุทธางกูร.
หมื่นโลกธาตุทั้งเทวโลก ก็พากันโห่ร้องปรบมือหัวร่อร่าเริง
ประคองอัญชลีนมัสการ กล่าวว่า
ผิว่า พวกเราพลาดคำสั่งสอนของพระโลกนาถ
พระองค์นี้ไซร้ ในอนาคตกาลพวกเราก็จักอยู่ต่อหน้าของท่านผู้นี้.
มนุษย์ทั้งหลาย เมื่อข้ามแม่น้ำ พลาดท่าน้ำ
ข้างหน้า ก็ถือเอาท่าน้ำข้างหลังข้ามแม่น้ำใหญ่ ฉันใด.
เราทั้งหมด ผิว่าผ่านพ้นพระชินพุทธเจ้าพระองค์
นี้ ในอนาคตกาลพวกเราก็จักอยู่ต่อหน้าของท่านผู้นี้ฉันนั้นเหมือนกัน.
เราสดับพระดำรัสของพระองค์แล้ว ก็ยินดีสลดใจ
อธิษฐานข้อวัตรยิ่งยวดขึ้นไป เพื่อบำเพ็ญบารมีให้บริบูรณ์.

พระอโนมทัสสีศาสดา
ทรงมีพระนคร ชื่อว่า จันทวดี
พระชนกพระนามว่า พระเจ้ายสวา
พระชนนีพระนามว่า พระนางยโสธรา.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 412
พระองค์ทรงครองฆราวาสวิสัยอยู่หมื่นปี
ทรงมีปราสาทชั้นเยี่ยม ๓ หลัง ชื่อ สิริ อุปสิริ วัฑฒะ
ทรงมีพระสนมนารีสองหมื่นสามพันนาง
พระอัครมเหสีพระนามว่า พระนางสิริมา
มีพระโอรสพระนามว่า อุปสาละ.
พระชินพุทธเจ้า ทรงเห็นนิมิต ๔ เสด็จออกอภิเนษกรมณ์ด้วยยาน คือวอ
ทรงตั้งความเพียร ๑๐ เดือนเต็ม.

พระมหาวีระ อโนมทัสสี มหามุนีผู้สงบ
อันท้าวมหาพรหมอาราธนาแล้ว
ทรงประกาศพระธรรมจักร ณ สุธัมมราชอุทยานอันยอดเยี่ยม.
พระอโนมทัสสีศาสดา
ทรงมีอัครสาวก ชื่อว่า พระนิสกะและพระอโนมะ
มีพระพุทธอุปัฏฐาก ชื่อว่า วรุณะ.
มีอัครสาวิกา ชื่อว่า พระสุนทรี๑ และพระสุมนา
โพธิพฤกษ์ของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น เรียกว่า ต้นอัชชุนะ (ต้นกุ่ม).
มีอัครอุปัฏฐาก ชื่อว่า นันทิวัฑฒะ และสิริวัฑฒะ
มีอัครอุปัฏฐายิกา ชื่อว่า อุปลา และปทุมา.
พระมุนีสูง ๕๘ ศอก
พระรัศมีของพระองค์แล่นออกไป ดุจดวงอาทิตย์.
๑. บาลีว่า สุนทรา.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 413
สมัยนั้น มนุษย์มีอายุแสนปี
พระองค์ทรงมีพระชนม์ยืนถึงเพียงนั้น จึงทรงยังหมู่ชนเป็นอันมากให้ข้ามโอฆสงสาร.
ปาพจน์คือธรรมวินัย อันพระอรหันต์ทั้งหลายผู้คงที่ ปราศจากราคะไร้มลทินให้แผ่ไปดีแล้ว
คำสั่งสอนพระชินพุทธเจ้า จึงงาม.
พระศาสดา ผู้มีพระยศหาประมาณมิได้ พระองค์นั้นด้วย
คู่พระสาวกอันใครๆ วัดมิได้ เหล่านั้นด้วย
ทั้งนั้นก็อันตรธานไปสิ้น สังขารทั้งปวง ก็ว่างเปล่า แน่แท้.
พระอโนมทัสสีพุทธเจ้า ผู้ชนะศาสดา ก็เสด็จดับขันธปรินิพพาน ณ พระวิหารธัมมาราม
พระสถูปของพระองค์ ณ อารามนั้น สูง ๒๐ โยชน์.
จบวงศ์พระอโนมทัสสีพุทธเจ้าที่ ๗

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 414
พรรณนาวงศ์พระอโนมทัสสีพุทธเจ้าที่ ๗
เมื่อพระโสภิตพุทธเจ้า ปรินิพพานแล้ว
ภายหลังสมัยของพระองค์อสงไขยหนึ่ง ก็ว่างเว้นพระพุทธเจ้าทรงอุบัติ.

เมื่ออสงไขยนั้นล่วงไปแล้ว ในกัปหนึ่ง
พระพุทธเจ้าก็บังเกิด ๓ พระองค์ คือ
พระอโนมทัสสี
พระปทุมะ
พระนารทะ.

บรรดาพระพุทธเจ้า ๓ พระองค์นั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้าอโนมทัสสี
ทรงบำเพ็ญบารมี สิบหกอสงไขย แสนกัป บังเกิด ณ สวรรค์ชั้นดุสิต
อันทวยเทพอ้อนวอนแล้ว ก็จุติจากดุสิตสวรรค์นั้น
ทรงถือปฏิสนธิในพระครรภ์ของ พระนางยโสธรา ผู้มีพระเต้าถันงามช้อน
อัครมเหสีในราชสกุลของ พระเจ้ายสวา กรุง จันทวดีราชธานี.

เล่ากันว่า
เมื่อพระอโนมทัสสีกุมาร อยู่ในครรภ์ของพระนางยโสธราเทวี
ด้วยอานุภาพบุญบารมี พระรัศมีแผ่ไปตลอดเนื้อที่ประมาณ ๘๐ ศอก
รัศมีดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ข่มไม่ได้.
ถ้วนกำหนดทศมาส พระนางก็ประสูติพระโพธิสัตว์
ปาฏิหารย์ทั้งหลายมีนัยที่กล่าวไว้แต่หนหลัง.

ในวันรับพระนาม พระประยูรญาติ
เมื่อขนานพระนามของพระองค์เพราะเหตุที่รัตนะ ๗ ประการ
หล่นจากอากาศในขณะประสูติ
ฉะนั้นจึงขนานพระนามว่า อโนมทัสสี
เพราะเป็นเหตุเกิดรัตนะอันไม่ทราม.

พระองค์ทรงเจริญวัยโดยลำดับ
ถูกบำเรอด้วยกามคุณอันเป็นทิพย์
ทรงครองฆราวาสวิสัยอยู่หมื่นปี.

เขาว่า ทรงมีปราสาท ๓ หลัง ชื่อ สิริ อุปสิริ สิริวัฑฒะ
ทรงมีพระสนมนารีสองหมื่นสามพันนาง มีพระนางสิริมาเทวีเป็นประมุข
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 415
เมื่อพระอุปวาณะ โอรสของพระนางสิริมาเทวีประสูติ
พระโพธิสัตว์นั้นก็ทรงเห็นนิมิต ๔
เสด็จออกอภิเนษกรมณ์ด้วยยาน คือวอ
ทรงผนวชแล้ว ชนสามโกฏิ ก็บวชตามเสด็จพระองค์.
พระมหาบุรุษอันชนสามโกฏินั้นแวดล้อมแล้ว
ทรงบำเพ็ญเพียร ๑๐ เดือน.
แต่นั้น ในวันวิสาขบูรณมี เสด็จบิณฑบาตในหมู่บ้าน อนูปมพราหมณ์
เสวยข้าวมธุปายาส ที่ธิดาอนูปมเศรษฐีถวายแล้วทรงยับยั้งพักกลางวัน ณ สาละวัน
ทรงรับหญ้า ๘ กำ ที่อาชีวกชื่ออนูปมะถวายแล้ว
ทรงทำประทักษิณโพธิพฤกษ์ชื่อ ต้นอัชชุนะ ไม้กุ่ม
ทรงลาดสันถัตหญ้ากว้าง ๓๘ ศอก
ประทับนั่งขัดสมาธิอธิษฐานความเพียรมีองค์ ๔
ทรงกำจัดกองกำลังมารพร้อมทั้งตัวมาร
ทรงยังวิชชา ๓ ให้เกิดในยามทั้ง ๓
ทรงเปล่งพระอุทานว่า อเนกชาติสํสารํ ฯ ล ฯ ตณฺหานํ ขยมชฺฌคา
ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
ต่อจาก สมัยของพระโสภิตพุทธเจ้า
พระสัมพุทธเจ้าพระนามว่า อโนมทัสสี ผู้เป็นยอดของสัตว์
สองเท้า มีพระยศประมาณมิได้ มีพระเดชอันใคร ๆ ละเมิดได้ยาก.
พระองค์ทรงตัดเครื่องผูกพันทั้งปวง รื้อภพทั้ง ๓ เสียแล้ว
ทรงแสดงบรรดาที่สัตว์ไปไม่กลับแก่เทวดาและมนุษย์.
พระองค์ไม่ทรงกระเพื่อมเหมือนสาคร อันใคร ๆ
เข้าเฝ้าได้ยากเหมือนบรรพต มีพระคุณไม่มีที่สุด
เหมือนอากาศ ทรงบานเต็มที่แล้วเหมือนพญาสาลพฤกษ์.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 416
แม้ด้วยการเห็นพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น สัตว์ทั้งหลายก็ยินดี
สัตว์เหล่านั้นฟังพระดำรัสของพระองค์ซึ่งกำลังตรัสอยู่ ก็บรรลุอมตธรรม.
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น
บทว่า อโนมทสฺสี ได้แก่ น่าดูไม่มีที่เทียบหรือน่าดูหาประมาณมิได้.
บทว่า อมิตยโส ได้แก่ มีบริวารหาประมาณมิได้ หรือมีพระเกียรติหาประมาณมิได้.
บทว่า เตชสฺสี ได้แก่ ทรงประกอบด้วยเดชคือศีลสมาธิปัญญา.
บทว่า ทุรติกฺกโม ได้แก่ อันใครกำจัดได้ยาก
อธิบายว่า ทรงเป็นผู้อันไม่ว่าเทวดา หรือมาร หรือใคร ๆ ไม่อาจละเมิดได้.
บทว่า โส เฉตฺวา พนฺธนํ สพฺพํ ได้แก่ ทรงตัดสัญโยชน์ ๑๐ อย่างได้หมด.
บทว่า วิทฺธํเสตฺวา ตโย ภวา ได้แก่ กำจัดกรรมที่ไปสู่ภพทั้ง ๓ ด้วยญาณเครื่องทำให้สิ้นกรรม.
อธิบายว่า ทำไม่ให้มี.
บทว่า อนิวตฺติคมนํมคฺคํ ความว่า พระนิพพานอันเป็นปฏิปักษ์ต่อการกลับ
การเป็นไป ท่านเรียกว่า อนิวตฺติ บุคคลย่อมถึงพระนิพพาน อันไม่กลับนั้น ด้วยมรรคานั้น
เหตุนั้นบรรดานั้น ชื่อว่าอนิวัตติคมนะ เครื่องไปไม่กลับ.
อธิบายว่า ทรงแสดงมรรคมีองค์ ๘ อัน เป็นเครื่องไปไม่กลับนั้น.
ปาฐะว่า ทสฺเสติ ดังนี้ก็มี. ความก็อย่างนั้นเหมือนกัน.
บทว่า เทวมานุเส ได้แก่ สำหรับเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
พึงเห็นว่าทุติยาวิภัตติลงในอรรถฉัฏฐีวิภัตติ.
บทว่า อสงฺโขโภ ความว่า ทรงเป็นผู้อันใครๆ ไม่อาจให้กระเพื่อให้ไหวได้
เพราะฉะนั้น จึงชื่อ อักโขภิยะ ผู้อันใครให้กระเพื่อมมิได้.
อธิบายว่า เหมือนอย่างว่า สมุทรลึกแปดหมื่นสี่พันโยชน์
เป็นที่อยู่แห่งภูต หลายพันโยชน์ อันอะไรๆ ให้กระเพื่อมมิได้ ฉันใด
พระองค์ก็ทรงเป็นผู้อันใครๆ ให้กระเพื่อมมิได้ ฉันนั้น.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 417
บทว่า อากาโสว อนนฺโต ความว่า เหมือนอย่างว่า ที่สุดแห่งอากาศไม่มี
ที่แท้ อากาศมีที่สุดประมาณมิได้ ไม่มีฝั่ง ฉันใด
แม้พระผู้มีพระภาคเจ้า ก็ไม่มีที่สุด ประมาณมิได้ ไม่มีฝั่ง ด้วยพระพุทธคุณทั้งหลายก็ฉันนั้น.
บทว่า โส ได้แก่ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น.
บทว่า สาลราชาว ผุลฺลิโต ความว่า ย่อมงามเหมือนพระยาสาลพฤกษ์ที่ดอกบานเต็มที่
เพราะทรงมีพระสรีระประดับด้วยพระลักษณะและอนุพยัญชนะทุกอย่าง.
บทว่า ทสฺสเนนปิ ตํ พุทฺธํ ความว่า
 แม้ด้วยการเห็นพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น.
แม้ในฐานะเช่นนี้ ปราชญ์ทางศัพทศาสตร์ย่อมประกอบฉัฏฐีวิภัตติ.
บทว่า โตสิตา ได้แก่ ยินดี อิ่มใจ.
บทว่า พฺยาหรนฺตํ ได้แก่ พฺยาหรนฺตสฺส ของพระองค์ผู้กำลังตรัสอยู่ ทุติยา.
วิภัตติ ลงในอรรถฉัฏฐีวิภัตติ.
บทว่า อมตํ ได้แก่ พระนิพพาน.
บทว่า ปาปุณนฺติ แปลว่า บรรลุ.
บทว่า เต ความว่า สัตว์เหล่าใด ฟังพระดำรัส คือ พระธรรมเทศนาของพระองค์
สัตว์เหล่านั้น ย่อมบรรลุอมตธรรม.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงยับยั้ง ณ โคนโพธิพฤกษ์ ๗ สัปดาห์
อันท้าวมหาพรหมทูลอาราธนาแล้ว ทรงตรวจดูโลกด้วยพุทธจักษุ
เพื่อทรงแสดงธรรม ทรงเห็นชนสามโกฏิ ซึ่งบวชกับพระองค์ เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยอุปนิสัย

ทรงใคร่ครวญว่า เดี๋ยวนี้ชนเหล่านั้นอยู่กันที่ไหน
ก็ทรงเห็นชนเหล่านั้นอยู่ ณ สุธัมมราชอุทยาน กรุงสุภวดี
เสด็จไปทางอากาศ ลงที่สุธัมมราชอุทยาน.
พระองค์อันชนเหล่านั้นแวดล้อมแล้ว
ทรงประกาศพระธรรมจักร ท่ามกลางบริษัทพร้อมทั้งเทวดาและมนุษย์ ณ ที่นั้น
อภิสมัยที่ ๑ ได้มีแก่สัตว์ร้อยโกฏิ.
ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 418
พระอโนมทัสสีพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ทรงมีธรรมาภิสมัยสำเร็จเจริญไป
ครั้งนั้น ในการทรงแสดงธรรมครั้งที่ ๑ สัตว์ร้อยโกฏิตรัสรู้.
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น
บทว่า ผีโต ได้แก่ถึงความเจริญโดยชนเป็นอันมากรู้ธรรม.
บทว่า โกฏิสตานิ ได้แก่ร้อยโกฏิ ชื่อว่าโกฏิสตะ
ปาฐะว่า โกฏิสตโย ดังนี้ก็มี. ปาฐะนั้นความว่า ร้อยโกฏิ.

ภายหลังสมัยต่อมา
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทำยมกปาฏิหาริย์ ณ โคนต้นประดู่ ใกล้ประตู โอสธีนคร
ประทับนั่งเหนือแท่นบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์
ภพดาวดึงส์ ซึ่งพวกอสูรครอบงำได้ยาก
ทรงยังฝนคือพระอภิธรรมให้ตกลงตลอดไตรมาส.
ครั้งนั้น เทวดาแปดสิบโกฏิตรัสรู้.
ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
เมื่อพระอโนมทัสสีพุทธเจ้า ทรงหลั่งฝนคือธรรม
ตกลงในอภิสมัยต่อจากนั้น
ในการที่ทรงแสดงธรรมครั้งที่ ๒ เทวดาแปดสิบโกฏิตรัสรู้.
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น
บทว่า วสฺสนฺเต ได้แก่ เมื่อมหาเมฆคือพระพุทธเจ้า หลั่งฝนตกลง.
บทว่า ธมฺมวุฏฺฐิโย ได้แก่ เมล็ดฝน คือ ธรรมกถา.

สมัยต่อจากนั้น
สัตว์เจ็ดสิบแปดโกฏิตรัสรู้ ในการที่ทรงแสดงมงคลปัญหา.
นั้นเป็นอภิสมัยครั้งที่ ๓
ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
เมื่อพระอโนมทัสสีพุทธเจ้า
ทรงหลั่งฝนคือธรรม ต่อจากนั้น ยังสัตว์ทั้งหลายให้อิ่ม
อภิสมัยครั้งที่ ๓ ก็ได้มีแก่สัตว์เจ็ดสิบแปดโกฎิ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 419
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น
บทว่า วสฺสนฺเต ได้แก่ ทรงหลั่งธารน้ำ คือธรรมกถา.
บทว่า ตปฺปยนฺเต ได้แก่ ให้เขาอิ่มด้วยน้ำฝน คืออมตธรรม.
อธิบายว่า เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทำเขาให้อิ่ม.
พระผู้มีพระภาคเจ้าอโนมทัสสี
ทรงมีสาวกสันนิบาต ๓ ครั้ง. ใน ๓
ครั้งนั้น ทรงยกปาติโมกข์ขึ้นแสดงท่ามกลางพระอรหันต์แปดแสน
ซึ่งเลื่อมใสในธรรมที่ทรงแสดงโปรด พระเจ้าอิสิทัตตะ ณ กรุงโสเรยยะ
แล้วบวชด้วยเอหิภิกขุบรรพชา ในเมื่อทรงแสดงธรรมโปรด
พระสุนทรินธระ กรุงราธวดี นี้เป็นสันนิบาตครั้งที่ ๒.
ทรงยกปาติโมกข์ขึ้นแสดงท่ามกลางพระอรหันต์หกแสน
ผู้บวชด้วยเอหิภิกขุบรรพชา พร้อมกับ พระเจ้าโสเรยยะ กรุงโสเรยยะ อีก นี้เป็นสันนิบาตครั้งที่ ๓.

ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
พระอโนมทัสสีพุทธเจ้า ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่พระองค์นั้น
ทรงมีสันนิบาต ประชุมพระอรหันต์ผู้ ถึงกำลังแห่งอภิญญาผู้บานแล้วด้วยวิมุตติ.
ครั้งนั้น ประชุมพระอรหันต์แปดแสน ผู้ละความเมาและโมหะ มีจิตสงบ คงที่.
ครั้งที่ ๒ ประชุมพระอรหันต์เจ็ดแสน ผู้ไม่มีกิเลส ปราศจากกิเลสดังธุลี ผู้สงบคงที่.
ครั้งที่ ๓ ประชุมพระอรหันต์หกแสน ผู้ถึงกำลังแห่งอภิญญา ผู้เย็น ผู้มีตบะ.

แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น
บทว่า ตสฺสาปิ จ มเหสิโน ได้แก่ แม้พระอโนมทัสสีพุทธเจ้า ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่พระองค์นั้น.
ปาฐะว่า ตสฺสาปิทฺวิปทุตฺตโม ดังนี้ก็มี.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 420
ความว่าพระผู้เป็นเลิศกว่าสัตว์สองเท่า พระองค์นั้น.
พึงถือเอาลักษณะโดยอรรถแห่งศัพท์.
บทว่า อภิญฺญาพลปฺปตฺตานํ ได้แก่ ผู้ถึงกำลังแห่งอภิญญาทั้งหลาย
อธิบายว่า ถึงความมั่นคงในอภิญญาทั้งหลาย โดยความพินิจอย่างฉับพลัน เพราะเป็นผู้เชี่ยวชาญ.
บทว่า ปุปฺผิตานํ ได้แก่ ถึงความงามอย่างเหลือเกิน เพราะบานสะพรั่งเต็มหมด.
บทว่า วิมุตฺติยา ได้แก่ ด้วยอรหัตผลวิมุตติ.
ในบทว่า อนงฺคณานํ นี้ อังคณศัพท์นี้
บางแห่งใช้ในกิเลสทั้งหลาย เช่น ตตฺถ กตมานิ ตีณิ องฺคณานิ.
ราโค องฺคณํ โทโสองฺคณํ โมโห องฺคณํ ในข้อนั้น อังคณะมี ๓ คือ อังคณะคือราคะ
อังคณะคือโทสะ อังคณะคือโมหะ และเช่น ปาปกานํ โข เอตํ อาวุโส
อกุสลานํ อิจฺฉาวจรานํ อธิวจนํ ยทิทํ องฺคณํ ผู้มีอายุ คำคือ อังคณะ
เป็นชื่อของอกุศลบาปธรรม ส่วนที่มีความอยากเป็นที่หน่วงเหนี่ยว
บางแห่งใช้ในมลทินบางอย่าง เช่น ตสฺเสว รชสฺส วา องฺคณสฺส วา
ปหานาย วายมติ พยายามเพื่อละกิเลสธุลี หรือมลทินนั้นนั่นแล.
บางแห่งใช้ในภูมิภาคเห็นปานนั้น เช่น เจติยงฺคณํ ลานพระเจดีย์, โพธิยงฺคณํลานโพธิ,
ราชงฺคเณ พระลานหลวง ส่วนในที่นี้ พึงเห็นว่าใช้ในกิเลสทั้งหลาย
เพราะฉะนั้นจึงมีความว่า ผู้ไม่มีกิเลส.
คำว่า วิรชานํ เป็นไวพจน์ของคำว่า อนงฺคณานํ นั้นนั่นแหละ.
บทว่า ตปสฺสินํ ความว่า ตบะกล่าวคืออริยมรรค
อันทำความสิ้นกิเลสของภิกษุเหล่าใดมีอยู่ ภิกษุเหล่านั้น ชื่อว่า ตปัสสี ผู้มีตบะ.
ภิกษุผู้มีตบะเหล่านั้นคือพระขีณาสพ.

ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์ของเราเป็น เสนาบดียักษ์ผู้มีศักดิ์ใหญ่ตนหนึ่ง
มีฤทธานุภาพมาก เป็นอธิบดีของยักษ์หลายแสนโกฏิ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 421
พระโพธิสัตว์นั้น สดับว่า พระพุทธเจ้าเกิดขึ้นแล้วในโลก
ก็มาเนรมิตมณฑป สำเร็จด้วยรัตนะ ๗ งามน่าดูอย่างยิ่ง
เสมือนวงดวงจันทร์งามนักหนา.
ถวายมหาทาน แด่พระสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน ณ มณฑปนั้น ๗ วัน.
เวลาอนุโมทนาภัตทานพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพยากรณ์ว่า
ในอนาคตกาล เมื่อล่วงไปหนึ่งอสงไขยกำไรแสนกัป
ท่านผู้นี้จักเป็นพระพุทธเจ้า พระนามว่า โคตมะ
ด้วยเหตุนั้นจึงตรัสว่า
สมัยนั้น เราเป็นยักษ์มีฤทธิ์มาก เป็นใหญ่ มีอำนาจเหนือยักษ์หลายโกฏิ.
แม้ครั้งนั้น เราก็เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐ
ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่พระองค์นั้น เลี้ยงดูพระผู้นำโลก
พร้อมทั้งพระสาวกให้อิ่มหนำสำราญด้วยข้าวน้ำ.
ครั้งนั้นพระมุนีผู้มีพระจักษุบริสุทธิ์
แม้พระองค์นั้น ก็ทรงพยากรณ์เราว่า
ท่านผู้นี้จักเป็นพระพุทธเจ้าในกัปที่หาประมาณมิได้ นับแต่กัปนี้ไป.

เราฟังพระดำรัสของพระองค์แล้วก็ร่าเริง สลดใจ
อธิษฐานข้อวัตรยิ่งยวดขึ้นไป เพื่อบำเพ็ญบารมีให้บริบูรณ์.
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น
บทว่า อุตฺตรึ วตมธิฏฺฐสึ ความว่า เราได้ทำความยากนั่นมั่นคงยิ่งขึ้นไป เพื่อให้บารมีบริบูรณ์.
พระผู้มีพระภาคเจ้าอโนมทัสสีพระองค์นั้น
ทรงมีพระนคร ชื่อว่า จันทวดี
พระชนกพระนามว่า พระเจ้ายสวา
พระชนนีพระนามว่า ยโสธรา
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 422
คู่พระอัครสาวกชื่อว่า พระนิสภะ และ พระอโนมะ
พระพุทธอุปัฏฐาก ชื่อว่า พระวรุณะ
คู่พระอัครสาวิกา ชื่อว่า พระสุนทรีและ พระสุมนา
โพธิพฤกษ์ชื่อว่า ต้นอัชชุนะ
พระสรีระสูง ๕๘ ศอก
พระชนมายุแสนปี

พระอัครมเหสีพระนามว่า พระนางสิริมา
พระโอรสพระนามว่า อุปวาณะ
ทรงครองฆราวาสวิสัยอยู่หมื่นปี พระองค์เสด็จอภิเนษกรมณ์ด้วยยานคือ วอ.
ส่วนการเสด็จไป พึงทราบความตามนัยที่กล่าวมาแล้ว
 ในการเสด็จโดยปราสาท
ในการพรรณนาวงศ์ของพระโสภิตพุทธเจ้า.
พระเจ้าธัมมกะ เป็นอุปัฏฐาก

เล่ากันว่า
พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารธัมมาราม.
ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
พระศาสดาอโนมทัสสี
มีพระนครชื่อว่า จันทวดี
พระชนกพระนามว่า พระเจ้ายสวา
พระชนนีพระนามว่า พระนางยโสธรา.

พระศาสดาอโนมทัสสี
มีพระอัครสาวก ชื่อว่า พระนิสภะ และ พระอโนมะ
พระอุปัฏฐากชื่อว่า วรุณะ
พระอัครสาวิกา ชื่อว่า พระสุนทรี และพระสุมนา
โพธิพฤกษ์ของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น เรียกว่าต้นอัชชุนะ ไม้กุ่ม.
พระมหามุนีสูง ๕๘ ศอก พระรัศมีของพระองค์แล่นออกเหมือนดวงอาทิตย์.
ในยุคนั้น มนุษย์มีอายุแสนปี
พระองค์เมื่อทรงมีพระชนม์ยืนถึงเพียงนั้น จึงทรงยังหมู่ชนเป็นอันมากให้ข้ามโอฆสงสาร.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 423
ปาพจน์ คือ ธรรมวินัย อันพระอรหันต์ ทั้งหลายผู้คงที่ ปราศจากราคะ ไร้มลทิน ทำให้บานดีแล้ว
ศาสนาของพระชินพุทธเจ้า จึงงาม.
พระศาสดา ผู้มีพระยศประมาณมิได้นั้นด้วย
คู่พระอัครสาวก ผู้มีคุณที่วัดไม่ได้เหล่านั้นด้วย
ทั้งนั้นก็อันตรธานไปสิ้น สังขารทั้งปวงก็ว่างเปล่า แน่แท้.
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น
บทว่า ปภา นิทฺธาวตี ความว่าพระรัศมีแล่นออกจากพระสรีระของพระองค์.
พระรัศมีแห่งพระสรีระ แผ่ไปตลอดเนื้อที่ประมาณสิบสองโยชน์อยู่เป็นนิตย์.
บทว่า ยุคานิ ตานิ ได้แก่ คู่มีคู่พระอัครสาวกเป็นต้น.
บทว่า สพฺพํ ตมนฺตรหิตํ ความว่า ประการดังกล่าวแล้วเข้าสู่ปากอนิจจลักษณะแล้วก็หายไปสิ้น.
ปาฐะว่า นนุ ริตฺตกเมว สงฺขาราดังนี้ก็มี.
ปาฐะนั้น ความว่า สังขารทั้งปวง ก็ว่างเปล่าทั้งนั้นแน่แท้.
ม อักษร ทำบทสนธิต่อบท.
ในคาถาที่เหลือทุกแห่ง ง่ายทั้งนั้นแล.

คู่พระอัครสาวกคู่นี้ คือพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ
ก็ได้ทำปณิธานเพื่อเป็นพระอัครสาวก ในสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้า อโนมทัสสี พระองค์นี้.
ก็เรื่องพระเถระเหล่านี้ ควรกล่าวในเรื่องนี้ แต่ข้าพเจ้าไม่ได้ยกขึ้นโดยนัยที่พิศดารในคัมภีร์.
จบพรรณนาวงศ์พระอโนมทัสสีพุทธเจ้า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 424


[/size]
68
ภาพการทำงานพัฒนาสถานีตำรวจภูธรน้ำหนาว ของอาจารย์เกษม เจ้าหน้าที่และครอบครัว วันที่ 26 กรกฎาคม 2567


















69
ภาพการทำงานพัฒนาสถานีตำรวจภูธรน้ำหนาว ของอาจารย์เกษม เจ้าหน้าที่และครอบครัว วันที่ 15,19 กรกฎาคม 2567



















70
ภาพการทำงานพัฒนาสถานีตำรวจภูธรน้ำหนาว ของอาจารย์เกษม เจ้าหน้าที่และครอบครัว วันที่ 21-25 กรกฎาคม 2567























หน้า: 1 ... 5 6 [7] 8 9 10