ในกาลภายหลังแต่ ตติยสังคายนา
ภิกษุและภิกษุณีทั้งหลายในอนาคต จัก ปฏิบัติอย่างนี้.
[๓๙๕] ฤาษี มีชื่อตามโคตรว่า ปัณฑรสะ
ได้เห็นภิกษุเป็นอันมากที่น่าเลื่อมใส
มีตนอันอบรมแล้ว สำรวมด้วยดี
จึงได้ถาม พระปุสสเถระ ว่า
ในอนาคต ภิกษุทั้งหลายในศาสนานี้
จักมีความพอใจอย่างไร
มีความประสงค์อย่างไร
กระผมถามแล้ว ขอจงบอกความข้อนั้นแก่กระผมเถิด.
พระปุสสเถระ
จึงกล่าวตอบด้วยคาถาเหล่านี้ ความว่า
ดูก่อนปัณฑรสฤาษี
ขอเชิญฟังคำ ของอาตมา
จงจำคำ ของอาตมาให้ดี
อาตมาจะบอกซึ่งข้อความที่ท่านถามถึงอนาคต คือ ในกาลข้างหน้า
ภิกษุเป็นอันมาก
จักเป็นคนมักโกรธ
มักผูกโกรธไว้
ลบหลู่คุณเท่านี้
หัวดื้อ โอ้อวด ริษยา
มีวาทะต่าง ๆ กัน
จักเป็นผู้มีมานะ ในธรรมที่ยัง ไม่รู้ทั่วถึง
คิดว่า ตื้น ในธรรม ที่ลึกซึ้ง
เป็นคนเบา ไม่เคารพธรรม
ไม่มีความเคารพกันและกัน
ในกาลข้างหน้า
โทษเป็นอันมากจักเกิดขึ้นในหมู่สัตว์โลก
ก็เพราะภิกษุทั้งหลายผู้ไร้ปัญญา
จักทำ ธรรมที่พระศาสดาทรงแสดงแล้วนี้ ให้เศร้าหมอง
ทั้งพวกภิกษุที่มีคุณอันเลว โวหารจัด แกล้วกล้า
มีกำลังมาก ปากกล้า ไม่ได้ศึกษาเล่าเรียน ก็จักมีขึ้นในสังฆมณฑล
ภิกษุทั้งหลาย ในสังฆมณฑล
แม้ที่มีคุณความดี
มีโวหารโดยสมควรแก่เนื้อความ
มีความละอายบาป
ไม่ต้องการอะไรๆ ก็จักมีกำลังน้อย
ภิกษุทั้งหลายในอนาคต ที่ทรามปัญญา ก็จะพากันยินดี
เงินทอง ไร่นา ที่ดิน แพะ แกะ และคนใช้หญิงชาย
จักเป็นคนโง่
มุ่ง แต่จะยกโทษคนอื่น
ไม่ดำรงมั่นอยู่ในศีล
ถือตัว โหดร้าย
เที่ยวยินดี แต่การทะเลาะวิวาท
จักมีใจฟุ้งซ่าน
นุ่งห่มแต่จีวรที่ย้อมสีเขียว แดง
เป็นคนลวงโลก
กระด้าง เป็นผู้แส่หาแต่ลาภผล
เที่ยวชูเขา คือ มานะ
ทำตนดั่งพระอริยเจ้า ท่องเที่ยวไปอยู่
เป็นผู้แต่งผมด้วยน้ำมัน
ทำให้มีเส้นละเอียด เหลาะแหละ
ใช้ยาหยอดและทาตา
มีร่างกายคลุมด้วยจีวรที่ย้อมด้วยสีงา
สัญจรไปตามตรอกน้อยใหญ่
จักพากันเกลียดชัง ผ้าอันย้อมด้วยน้ำฝาด เป็นของไม่น่าเกลียด
พอใจแต่ในผ้าขาว ๆ จักเป็นผู้มุ่งแต่ลาภผล
เป็นคนเกียจคร้าน มีความเพียรเลวทราม
เห็นการอยู่ป่าอันสงัดเป็นความลำบาก
จักใคร่อยู่ในเสนาสนะ ที่ใกล้บ้าน
ภิกษุเหล่าใด ยินดี มิจฉาชีพ จักได้ลาภเสมอๆ
จักพากันประพฤติตามภิกษุเหล่านั้น
(เที่ยวคบหาราชสกุลเป็นต้น เพื่อให้เกิดลาภแก่ตน)
ไม่สำรวมอินทรีย์เที่ยวไป
อนึ่ง ในอนาคตกาล
ภิกษุทั้งหลาย จะไม่บูชา พวกภิกษุที่มีลาภน้อย
จัก ไม่สมคบภิกษุ ที่เป็นนักปราชญ์ มีศีลเป็นที่รัก
จักทรงผ้าสีแดง ที่ชนชาวมิลักขะ ชอบย้อมใช้
พากันติเตียน ผ้าอันเป็นธงชัย ของตนเสีย
บางพวกก็นุ่งห่มผ้าสีขาว
อันเป็นธงของพวกเดียรถีย์
อนึ่ง ในอนาคตกาล
ภิกษุเหล่านั้นจักไม่เคารพในผ้ากาสาวะ
จักไม่พิจารณาในอุบายอันแยบคาย บริโภคผ้ากาสาวะ
เมื่อทุกข์ครอบงำ
ถูกลูกศรแทงเข้าแล้ว ก็ไม่พิจารณาโดยแยบคาย
แสดงอาการยุ่งยาก ในใจออกมา
มีแต่เสียงโอดครวญ อย่างใหญ่หลวง
อนึ่ง
ภิกษุและภิกษุณีทั้งหลายในอนาคต
จักเป็นผู้มีจิตใจชั่วร้าย
ไม่เอื้อเฟื้อ จักข่มขี่ภิกษุทั้งหลายผู้คงที่ มีเมตตาจิต
แม้ภิกษุทั้งหลายที่เป็นคนโง่เขลา มีปัญญาทราม
ไม่สำรวมอินทรีย์ กระทำตามความใคร่
ถึงพระเถระ ให้ศึกษาการใช้สอยผ้าจีวร ก็จักไม่เชื่อฟัง
พวกภิกษุที่โง่เขลาเหล่านั้น
อันพระเถระทั้งหลายให้การศึกษาแล้วเหมือนอย่างนั้น
จักไม่เคารพกันและกัน ไม่เอื้อเฟื้อนาย
เพระอุปัชฌายาจารย์ จักเป็นเหมือนม้าพิการ
ไม่เอื้อเฟื้อนายสารถีฉะนั้น
ในกาลภายหลังแต่ตติยสังคายนา
ภิกษุและภิกษุณีทั้งหลายในอนาคต จักปฏิบัติอย่างนี้.
ครั้นพระปุสสเถระ
แสดงมหาภัยอันจะบังเกิดขึ้น ในกาลภายหลังอย่างนี้แล้ว
เมื่อจะให้โอวาทภิกษุที่ประชุมกัน ณ ที่นั้นอีก
จึงได้กล่าวคาถา ๓ คาถา ความว่า
ภัยอย่างใหญ่หลวงที่จะทำอันตรายต่อข้อปฏิบัติ
ย่อมมาในอนาคตอย่างนี้ก่อน
ขอท่านทั้งหลาย จงเป็นผู้ว่าง่าย
จงพูดแต่ถ้อยคำที่สละสลวย มีความเคารพกันและกัน
มีจิตเมตตากรุณาต่อกัน จงสำรวมในศีล ปรารภความเพียร
มีใจเด็ดเดี่ยวบากบั่นอย่างมั่นเป็นนิตย์
ขอท่านทั้งหลายจงเห็นความประมาท โดยความเป็นภัย
และจงเห็นความไม่ประมาท โดยความเป็นของปลอดภัย
แล้วจงอบรม อัฏฐังคิกมรรค
เมื่อทำได้ดังนี้แล้ว ย่อมจะบรรลุนิพพานอันเป็นทางไม่เกิดไม่ตาย.
อรรถกถาติงสนิบาต[/b][/color]