วงศ์ พระโสภิตพุทธเจ้าที่ ๖ - คุยได้ฟังดีกับบรรดาสมาชิกวัด - กระดานสนทนาธรรม
กระดานสนทนาธรรม

ที่พักสงฆ์ป่าสามแยก บ้านห้วยยางทอง ต.วังกวาง อ.น้ำหนาว จ.เพชรบูรณ์ 67260


วงศ์ พระโสภิตพุทธเจ้าที่ ๖

วงศ์ พระโสภิตพุทธเจ้าที่ ๖
« เมื่อ: มิถุนายน 19, 2024, 08:45:37 PM »
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 393
๖. วงศ์พระโสภิตพุทธเจ้าที่ ๖
ว่าด้วยพระประวัติของพระโสภิตพุทธเจ้า
[๗] ต่อจากสมัยของพระเรวตพุทธเจ้า

พระพุทธเจ้าพระนามว่า โสภิตะ ผู้นำโลก
ผู้ตั้งมั่น มีจิตสงบ ไม่มีผู้เสมอ ไม่มีผู้เปรียบ.

พระชินพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงกลับพระหฤทัย
ในพระนิเวศน์ของพระองค์
ทรงบรรลุพระโพธิญาณสิ้นเชิง ทรงประกาศพระธรรมจักร.
ตั้งแต่อเวจีนรกขึ้นไป ตั้งแต่ภวัคคพรหมลงมา
ในระหว่างมิได้เป็นบริษัทหมู่เดียวกัน ในเพราะการแสดงธรรม.

พระสัมพุทธเจ้า ทรงประกาศพระธรรมจักรท่ามกลางบริษัทหมู่นั้น.
อภิสมัยครั้งที่ ๑ นับไม่ได้ด้วยจำนวนผู้ตรัสรู้.
เมื่อพระโสภิตพุทธเจ้า ทรงแสดงธรรมต่อจากอภิสมัยครั้งที่ ๑ นั้น
ในการประชุมของมนุษย์และเทวดาทั้งหลาย.
อภิสมัยครั้งที่ ๒ ได้มีแก่มนุษย์ และ เทวดาเก้าหมื่นโกฏิ.
ต่อมาอีก เจ้าราชบุตรพระนามว่า ชัยเสนะ
ทรงให้สร้างพระอาราม มอบถวายพระพุทธเจ้า
ในครั้งนั้น พระผู้มีพระจักษุ เมื่อทรงสรรเสริญการบริจาคทาน
ก็ทรงแสดงธรรมโปรดเจ้าราชบุตรพระองค์นั้น
ครั้งนั้น อภิสมัยครั้งที่ ๓ ก็ได้มีแก่สัตว์พันโกฏิ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 394

พระโสภิตพุทธเจ้า ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่
ทรงมีสันนิบาต การประชุมพระอรหันต์ขีณาสพ ผู้ไร้มลทินผู้มีจิตสงบคงที่ ๓ ครั้ง.
พระราชาพระนามว่า อุคคตะ พระองค์นั้น
ถวายทานแด่พระผู้เป็นยอดแห่งนรชน
ในทานนั้น พระอรหันต์ร้อยโกฏิก็มาประชุมกัน.

ต่อมาอีก
หมู่คณะ [ธรรมคณะ] ถวายทานแด่พระผู้เป็นยอดแห่งนรชน
การประชุมครั้งที่ ๒ ได้มีแก่ พระอรหันต์เก้าสิบโกฏิ.
ครั้งพระชินพุทธเจ้า ทรงจำพรรษา ณ เทวโลกแล้วเสด็จลงมา
การประชุมครั้งที่ ๓ ก็ได้มีแก่ พระอรหันต์แปดสิบโกฏิ.
สมัยนั้น เราเป็นพราหมณ์ชื่อ สุชาตะ
ครั้งนั้น ได้เลี้ยงดูพระพุทธเจ้าทั้งพระสาวก ให้อิ่มหนำสำราญด้วยข้าวน้ำ.

พระโสภิตพุทธเจ้า ผู้นำโลก พระองค์นั้น
ทรงพยากรณ์เราว่า ท่านผู้นี้จักเป็นพระพุทธเจ้า ในกัปที่หาประมาณมิได้ นับแต่กัปนี้ไป.
พระตถาคตออกอภิเนษกรมณ์ จากกรุงกบิลพัสดุ์ที่น่ารื่นรมย์ ทรงตั้งความเพียรทำทุกกรกิริยา.
พระตถาคต ประทับนั่ง ณ โคนต้นอชปาลนิโครธ
ทรงรับข้าวมธุปายาสในที่นั้นแล้วเสด็จเข้าไปยังแม่น้ำเนรัญชรา.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 395
พระชินเจ้าพระองค์นั้น เสวยข้าวมธุปายาส ณ ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา
เสด็จดำเนินตามทางอันดีที่เขาจัดแต่งไว้แล้วเข้าไปที่โคนโพธิพฤกษ์.
ต่อนั้น พระผู้มีพระยศใหญ่ ทรงทำประทักษิณ
โพธิมัณฑสถานอันยอดเยี่ยม ตรัสรู้ ณ โคนโพธิพฤกษ์ ชื่ออัสสัตถะ.

ท่านจักมีพระชนนี พระนามว่า พระนางมายา
พระชนกพระนามว่า พระเจ้าสุโธทนะ

ท่านผู้นี้ จักมีพระนามว่า โคตมะ.
พระอัครสาวก ชื่อว่า พระโกลิตะและพระอุปติสสะ
ผู้ไม่มีอาสวะ ปราศจากราคะ มีจิตสงบตั้งมั่น
พระพุทธอุปัฏฐาก ชื่อว่า พระอานันทะ จักบำรุงพระชินเจ้าผู้นี้.
พระอัครสาวิกา ชื่อว่า พระเขมาและพระอุบลวรรณา
ผู้ไม่มีอาสวะ ปราศจากราคะ มีจิตสงบตั้งมั่น
โพธิพฤกษ์ของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น เรียกว่า อัสสัตถะ.

อัครอุปัฏฐาก ชื่อว่า จิตตะ และหัตถะอาฬวกะ
อัครอุปัฏฐายิกา ชื่อว่า นันทมาตาและอุตตรา
พระโคตมะผู้มีพระยศพระองค์นั้น มีชนมายุ ๑๐๐ ปี.

มนุษย์และเทวดาทั้งหลาย
ฟังพระดำรัสของพระโสภิตพุทธเจ้า ผู้ไม่มีผู้เสมอ ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่
ก็ปลาบปลื้มใจว่า ท่านผู้นี้เป็นหน่อพุทธางกูร.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 396
หมื่นโลกธาตุ ทั้งเทวโลก พากันส่งเสียงโห่ร้องปรบมือ หัวร่อร่าเริง
ประคองอัญชลีนมัสการ กล่าวว่าผิว่า พวกเราจักพลาดคำสั่งสอน ของพระโลกนาถพระองค์นี้
ในอนาคตกาล พวกเราก็จักอยู่ต่อหน้าของท่านผู้นี้.

มนุษย์ทั้งหลาย เมื่อจะข้ามแม่น้ำ พลาดท่าน้ำข้างหน้า
ก็ถือเอาท่าน้ำข้างหลัง ข้ามแม่น้ำใหญ่ฉันใด.
พวกเราทั้งหมด ผิว่า ผ่านพ้นพระชินพุทธเจ้า พระองค์นี้
ในอนาคตกาล พวกเราก็จักอยู่ต่อหน้าของท่านผู้นี้.
เราฟังพระดำรัสของพระองค์แล้ว ก็ร่าเริง สลดใจ
ได้ทำความเพียรอย่างแรงกล้า เพื่อบรรลุประโยชน์นั้นนั่นแหละ.

พระโสภิตพุทธเจ้า ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่
ทรงมีพระนคร ชื่อว่า สุธัมมะ
พระชนกพระนามว่า พระเจ้าสุธัมมะ
พระชนนีพระนามว่า พระนางสุธัมมา.
พระองค์ครองฆราวาสวิสัยอยู่เก้าพันปี
ทรงมีปราสาทยอดเยี่ยม ๓ หลงชื่อ กุมุทะ นฬินี ปทุมะ

พระสนมนาฏนารี แต่งกายงาม สี่หมื่นสามพันนาง
พระมเหสีพระนามว่า มกิลา
พระโอรสพระนามว่าสีหะ.
พระผู้เป็นยอดบุรุษทรงเห็นนิมิต ๔ อภิเนษกรมณ์โดยปราสาท
ทรงบำเพ็ญเพียร ๗ วัน.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 397
พระโสภิตมหาวีระ ผู้นำโลก ผู้สงบ
อันท้าวมหาพรหมอาราธนาแล้ว
ประกาศพระธรรมจักร ณ สุธัมมราชอุทยานอันยอดเยี่ยม.

พระอัครสาวกชื่อว่า พระอสมะและพระสุเนตตะ
พระพุทธอุปัฏฐาก ชื่อว่า พระนกุลา และพระสุชาดา
พระพุทธเจ้าพระองค์นั้น ตรัสรู้ ณ โคนโพธิพฤกษ์ชื่อว่าต้นนาคะ.
อัครอุปฐาก ชื่อว่า รัมมะและสุเนตตะ อัครอุปฐายิกา ชื่อว่า นกุลา และจิตตา.

พระมหามุนี ทรงสูง ๕๘ ศอก
ทรงส่งรัศมีสว่างไปทุกทิศ ดังดวงอาทิตย์อุทัย.
ป่าใหญ่ มีดอกไม้บาน อบอวลด้วยกลิ่นหอมนานา ฉันใด
ปาพจน์ของพระโสภิตพุทธเจ้า ก็อบอวลด้วยกลิ่นคือศีล ฉันนั้น.
ขึ้นชื่อว่า มหาสมุทร ใครๆ ก็ไม่อิ่มด้วยการเห็นฉันใด
ปาพจน์ของพระโสภิตพุทธเจ้า พระองค์นั้นใครๆ ก็ไม่อิ่มด้วยการฟัง ฉันนั้น.

ในยุคนั้น มนุษย์มีอายุเก้าหมื่นปี
พระโสภิตพุทธเจ้า พระองค์นั้น
ทรงมีพระชนม์ยืนถึงเพียงนั้นจึงยังหมู่ชนเป็นอันมากให้ข้ามโอฆสงสาร.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 398
พระองค์ทั้งพระสาวก ประทานโอวาทานุศาสน์แก่ชนที่เหลือแล้ว
เสด็จดับขันธปรินิพพาน เหมือนไฟไหม้แล้วก็ดับไป ฉะนั้น.

พระพุทธเจ้า ผู้เสมอด้วยพระพุทธเจ้าที่ไม่มีผู้เสมอพระองค์นั้นด้วย
เหล่าพระสาวก ผู้ถึงกำลังเหล่านั้นด้วย ทั้งนั้นก็อันตรธานไปสิ้น
สังขารทั้งปวงก็ว่างเปล่า โดยแน่แท้.
พระโสภิตสัมพุทธเจ้าผู้ประเสริฐ เสด็จดับขันธปรินิพพาน ณ พระวิหารสีหาราม
พระบรมธาตุแผ่กระจายไปเป็นส่วนๆ ในที่นั้นๆ.
จบวงศ์พระโสภิตพุทธเจ้าที่ ๖
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 399

พรรณนาวงศ์พระโสภิตพุทธเจ้าที่ ๖
ภายหลังสมัยของ พระเรวตพุทธเจ้า พระองค์นั้น
เมื่อพระศาสนาของพระองค์ อันตรธานแล้ว

พระโพธิสัตว์พระนามว่า โสภิตะ
ทรงบำเพ็ญบารมีมาสี่อสงไขยกำไรแสนกัป
ก็บังเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต
ทรงดำรงอยู่ตลอดอายุในที่นั้นแล้ว อันทวยเทพอ้อนวอนแล้ว
ก็จุติจากสวรรค์ชั้นดุสิต ถือปฏิสนธิในพระครรภ์ของ พระนางสุธัมมาเทวี
ในราชสกุลของ พระเจ้าสุธัมมราช ใน สุธัมมนคร.
พระโพธิสัตว์นั้น ถ้วนกำหนดทศมาส ก็ประสูติ
จากพระครรภ์ของพระชนนี ณ สุธัมมราชอุทยาน
เหมือนดวงจันทร์ลอดออกจากหลืบเมฆ
ปาฏิหาริย์ในการปฏิสนธิและประสูติของพระองค์มีประการดังกล่าวมาก่อนแล้ว.
พระโพธิสัตว์นั้น ครองฆราวาสวิสัยอยู่หมื่นปี

เมื่อพระโอรสพระนามว่า สีหกุมาร
ทรงถือกำเนิดในพระครรภ์ของพระนางมขิลาทวี๑
พระอัครมเหสียอดสนมนาฏเจ็ดหมื่นนางแล้ว
ทรงเห็นนิมิต ๔ เกิดสลดพระหฤทัย
ทรงผนวชในปราสาทนั่นเอง
ทรงเจริญอานาปานัสสติสมาธิในปราสาทนั้นนั่นแหละ
ทรงได้ฌาน ๔ ทรงบำเพ็ญเพียรในปราสาทนั้น ๗ วัน
ต่อนั้น เสวยข้าวมธุปายาส รสอร่อยอย่างยิ่ง พระนางมขิลามหาเทวี ถวายแล้ว

ทรงเกิดจิตคิดจะออกอภิเนษกรมณ์ว่า
ขอปราสาทที่ประดับตกแต่งแล้วนี้ จงไปทางอากาศต่อหน้ามหาชน ที่กำลังดูอยู่
แล้ว ทำโพธิพฤกษ์ไว้ตรงกลาง แล้วลงเหนือแผ่นดินและสตรีเหล่านั้น
เมื่อเรานั่ง ณ โคนโพธิพฤกษ์ ไม่ต้องมีคนบอก จงลงจากปราสาทกันเองเถิด
พร้อมกับเกิดจิตดังนั้น ปราสาทก็เหาะจากพระราชนิเวศน์ของพระเจ้าสุธัมมราช
ขึ้นสู่อากาศเฉกเช่นอัญชันบรรพตสีเขียวความ
ปราสาทนั้น มีพื้นปราสาทประดับด้วยพวงดอกไม้ส่งกลิ่นหอมอบอวล เหมือนประดับ
๑. บาลีเป็นมกิลา
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 400
ประดาทั่วพื้นอัมพรรุ่งโรจน์ดั่งดวงทินกร
กลุ่มที่กระทำความงามเสมือนธารน้ำทอง และดั่งดวงรัชนีกรในฤดูสารท
มีข่ายขึงกระดิ่งงามวิจิตรนานาชนิดห้อยย้อย
เมื่อต้องลมก็ส่งเสียงไพเราะน่ารักน่าใคร่ ดั่งดนตรีเครื่อง ๕ ที่ผู้ชำนาญบรรเลง.
ด้วยเสียงไพเราะได้ยินมาแต่ไกล เสียงไพเราะนั้น ก็หยังลงสู่โสตของสัตว์ทั้งหลาย
ประหนึ่งถูกประเล้าประโลมทางอากาศ
อันไม่ไกลชายวนะอันงามของต้นไม้ ไม่ต่ำนักไม่สูงนัก
ในหมู่มนุษย์ที่ยืนเจรจาปราศรัยกันอยู่ในบ้านเรือน
ทาง ๓ แพร่ง ๔ แพร่ง และในถนนเป็นต้น
ประหนึ่งดึงดูดสายตาชนด้วยสีที่แล่นเรืองรองรุ่งโรจน์
ด้วยรัตนะต่างๆ คือกิ่งอันงามของต้นไม้ และ
ประหนึ่งโฆษณาปุญญานุภาพก็ดำเนินไปตลอดพื้นคัคนานต์.
แม้เหล่าสนมนาฎนารี ณ ที่นั้น
ก็ขับกล่อมประสานเสียงด้วยเสียงอันไพเราะแห่งดนตรีอย่างดีมีองค์ ๕.
เขาว่าแม้กองทัพ ๔ เหล่าของพระองค์
ก็งดงามด้วยอาภรณ์ คือ ดอกไม้หอมและผ้ามีสีสรรต่าง ๆ
ร่วงรุ้งรุ่งโรจน์เกิดจากประกายเครื่องอลังการและอาภรณ์ประดับกาย
ไปแวดล้อมปราสาททางภาคพื้นนภากาศ
ดุจกองทัพทวยเทพ ดุจแผ่นธรณีที่งามน่าดูอย่างยิ่ง.

แต่นั้น ปราสาทก็ไปทำต้นโพธิ์พฤกษ์ชื่อต้นนาคะ ซึ่งสูง ๘๘ ศอก
ลำต้นตรงอวบกลม ประดับด้วยดอกใบอ่อนตูมไว้ตรงกลาง แล้วลงตั้งที่พื้นดิน.
สวนเหล่าสนมนาฏนารี ใครๆ มิได้บอก ก็ลงจากปราสาทนั้นหลีกไป.

เขาว่า แม้พระโสภิตมหาบุรุษ
ผู้งามด้วยคุณสมบัติเป็นอันมากทำมหาชนเป็นบริวารอย่างเดียว
ทรงยังวิชชา ๓ ให้เกิดในยามทั้ง ๓ แห่งราตรี.
ส่วนกองกำลังแห่งมาร ก็ไปตามทางที่ไป
โดยกำลังธรรมดาของพระมหาบุรุษนั้นนั่นเอง

พระผู้มีพระภาคเจ้าโสภิตะ
ทรงบรรลุพระสัมโพธิญาณแล้ว
ก็ทรงเปล่งพระอุทานว่า อเนกชาติสํสารํ ฯ เป ฯ ตณฺหานํ ขยมชฺฌคา
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 401
ทรงยับยั้ง ณ ที่ใกล้โพธิพฤกษ์ ๗ สัปดาห์
ทรงรับการอาราธนาธรรมของท้าวมหาพรหม

ทรงตรวจดูด้วยพุทธจักษุว่า จะทรงแสดงธรรมแก่ใครก่อนหนอ.
ก็ทรงเห็นอสมกุมาร และ สุเนตตกุมาร
พระกนิษฐภาดา ต่างพระมารดาของพระองค์ว่า
กุมารทั้งสองพระองค์นี้ ถึงพร้อมด้วยอุปนิสสัย
สามารถแทงตลอด ธรรมอันละเอียดลุ่มลึกได้
เอาเถิด เราจะแสดงธรรมแก่กุมารทั้งสองนี้แล้ว
เสด็จมาทางอากาศ ลง ณ สุธัมมราชอุทยาน
โปรดให้พนักงานเฝ้าพระราชอุทยาน เรียกพระกุมารทั้งสองพระองค์มาแล้ว
อันพระกุมารพร้อมทั้งบริวารแวดล้อมแล้ว
ทรงประกาศพระธรรมจักรท่ามกลางมหาชน.

ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
ต่อจากสมัยของพระเรวตพุทธเจ้า พระพุทธเจ้า

พระนามว่า โสภิตะ ผู้นำโลก
ผู้ตั้งมั่น จิตสงบ ไม่มีผู้เสมอ ไม่มีผู้เปรียบ.
พระชินพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ทรงกลับพระทัยในพระนิเวศน์ของพระองค์แล้ว
ทรงบรรลุพระโพธิญาณสิ้นเชิง ประกาศพระธรรมจักรแล้ว.
บริษัทหมู่หนึ่ง ในระหว่างนี้ คือเบื้องล่างตั้งแต่อเวจีนรก เบื้องบนตั้งแต่ภวัคคพรหม
ก็ได้มีในการแสดงธรรม.

พระสัมพุทธเจ้า ทรงประกาศพระธรรมจักร ณ ท่ามกลางบริษัทนั้น
อภิสมัยครั้งที่ ๑ กล่าวไม่ได้ด้วยจำนวนผู้ตรัสรู้.
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น
บทว่า สกเคหมฺหิ ได้แก่ ในนิเวศน์ของตนนั่นเอง.
อธิบายว่า ณ พื้นภายในปราสาทนั่นแล.
บทว่า มานสํ วินิวตฺตยิ ได้แก่ กลับใจ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 402
อธิบายว่า อยู่ในนิเวศน์ของพระองค์
เปลี่ยนจิตจากความเป็นปุถุชนภายใน ๗ วันเท่านั้น
แล้วทรงบรรลุความเป็นพระพุทธเจ้า.
บทว่า เหฏฺฐา แปลว่า เบื้องต่ำ.
บทว่า ภวคฺคา ได้แก่ แต่อกนิษฐภพ.
บทว่า ตาย ปริสาย ได้แก่ ท่ามกลางบริษัทนั้น.
บทว่า คณนาย น วตฺตพฺโพ ความว่า เกินที่จะนับจำนวนได้.
บทว่า ปฐมาภิสมโย ได้แก่ ธรรมาภิสมัยครั้งที่ ๑.
บทว่า อหุ ความว่า บริษัทนับจำนวนไม่ได้.
ปาฐะว่า ปฐเมอภิสฺมึสุเยว ดังนี้ก็มี.
ความว่า ชนเหล่าใด ตรัสรู้ ในการแสดงธรรมของพระโสภิตพุทธเจ้านั้น
ชนเหล่านั้น อันใครๆ กล่าวไม่ได้ด้วยการนับจำนวน.

สมัยต่อมา
พระโสภิตพุทธเจ้า
ทรงทำยมกปาฏิหาริย์ ณ โคนต้น จิตตปาฏลี ใกล้ประตูกรุงสุทัสสนะ
ประทับนั่งทรงแสดงอภิธรรม เหนือพื้นบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ณ โคนต้น ปาริฉัตร
ในภพดาวดึงส์ อันเป็นภพที่สำเร็จด้วยนพรัตน์และทอง.
จบเทศนา เทวดาเก้าหมื่นโกฏิตรัสรู้ธรรม นี้เป็นอภิสมัยครั้งที่ ๒.

ด้วยเหตุนั้นจึงตรัสว่า
เมื่อพระโสภิตพุทธเจ้า
ทรงแสดงธรรม ต่อจากอภิสมัยครั้งที่ ๑ นั้น ณ ที่ประชุมเทวดาทั้งหลาย
อภิสมัยครั้งที่ ๒ ก็ได้มีแก่เทวดาเก้าหมื่นโกฏิ.
สมัยต่อมา
พระราชกุมารพระนามว่า ชัยเสนะ ในกรุงสุทัสสนะ
ทรงสร้างวิหารประมาณโยชน์หนึ่ง
ทรงสร้างพระอาราม ทรงเว้นไว้ระยะต้นไม้ดีเช่น
ต้นอโศก ต้นสน จำปา กะถินพิมาน บุนนาค พิกุลหอม มะม่วง ขนุน
อาสนศาลา มะลิวัน มะม่วงหอม พุดเป็นต้น
ทรงมอบถวายแด่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน.
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทำอนุโมทนาทาน
ทรงสรรเสริญการบริจาคทานแล้วทรงแสดงธรรม.
ครั้งนั้น ธรรมาภิสมัยได้มีแก่หมู่สัตว์แสนโกฏิ
นี้เป็นอภิสมัยครั้งที่ ๓

ด้วยเหตุนี้ จึงตรัสว่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 403

ต่อมาอีก
เจ้าราชบุตรพระนามว่า ชัยเสนะ
ทรงสร้างพระอาราม มอบถวายพระพุทธเจ้าครั้งนั้น.
พระผู้มีพระจักษุ เมื่อทรงสรรเสริญการบริจาคทาน
ก็ทรงแสดงธรรมโปรดเจ้าราชบุตรนั้น
ครั้งนั้นอภิสมัยครั้งที่ ๓ ได้มีแก่สัตว์พันโกฏิ.
พระราชาพระนามว่า อุคคตะ
ก็สร้างพระวิหารชื่อว่า สุนันทะ
ในกรุงสุนันทะ ถวายแด่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน.
ในทานนั้นพระอรหันต์ร้อยโกฏิซึ่งบวชด้วยเอหิภิกขุบรรพชาประชุมกัน.

พระผู้มีพระภาคเจ้าโสภิตะ
ทรงยกปาติโมกข์ขึ้นแสดงท่ามกลางพระอรหันต์เหล่านั้น.
นี้เป็นสันนิบาตครั้งที่ ๑.
คณะธรรมในเมขลนคร สร้างมหาวิหารที่น่ารื่นรมย์อย่างดีชื่อว่า ธัมมคณาราม
ถวายแด่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธานอีก
แล้วได้ถวายทานพร้อมด้วยบริขารทุกอย่าง.

ในสมาคมนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงยกปาติโมกข์ขึ้นแสดง
ในสันนิบาตการประชุมพระอรหันต์เก้าหมื่นโกฏิ
ซึ่งบวชโดยเอหิภิกขุภาวะ นี้เป็นสันนิบาตครั้งที่ ๒.
ส่วนสมัยที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงจำพรรษาในภพของท้าวสหัสนัยน์
อันหมู่เทพแวดล้อมแล้ว เสด็จลงจากเทวโลก ในดิถีปวารณาพรรษา
ทรงปวารณาพร้อมด้วยพระอรหันต์แปดสิบโกฏิ
ในสันนิบาตที่ประกอบด้วยองค์ ๔ นี้เป็นสันนิบาตครั้งที่ ๓.

ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
พระโสภิตพุทธเจ้า ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่
ทรงมีสันนิบาต ๓ ครั้ง ประชุมพระอรหันต์ขีณาสพ ผู้ไร้มลทินมีจิตสงบ คงที่.
พระราชาพระองค์นั้น พระนามว่า อุคคตะ
ถวายทานแด่พระผู้เป็นยอดแห่งนรชน
ในกาลนั้น พระอรหันต์ร้อยโกฏิ มาประชุมกัน (ครั้งที่ ๑).
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 404
ต่อมาอีก หมู่ชนชาวเมือง ถวายทานแด่พระผู้เป็นยอดแห่งนรชน
ครั้งนั้น พระอรหันต์เก้าสิบโกฏิประชุมกันเป็นครั้งที่ ๒.
ครั้งพระชินพุทธเจ้า จำพรรษา ณ เทวโลก เสด็จ
ลง พระอรหันต์แปดสิบโกฏิประชุมกันเป็นครั้งที่ ๓.

เล่ากันว่า
ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์ของเราเป็นพราหมณ์ ชื่อว่า สุชาตะ
เกิดดีทั้งสองฝ่ายใน กรุงรัมมวดี
ฟังพระธรรมเทศนาของพระผู้มีพระภาคเจ้า โสภิตะแล้ว 
ตั้งอยู่ในสรณะ ถวายมหาทานตลอดไตรมาสแด่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน.

แม้พระโสภิตพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ก็ทรงพยากรณ์สุชาตพราหมณ์นั้นว่า
ในอนาคตกาล จักเป็นพระพุทธเจ้าพระนามว่าโคตมะ.

ด้วยเหตุนั้นจึงตรัสว่า
สมัยนั้น เราเป็นพราหมณ์ชื่อว่า สุชาตะ
ในครั้งนั้น ได้เลี้ยงดูพระพุทธเจ้าพร้อมทั้งพระสาวก
ให้อิ่มหนำสำราญด้วยข้าวและน้ำ.

พระโสภิตพุทธเจ้า ผู้นำโลกพระองค์นั้น
ทรงพยากรณ์เราว่า ท่านผู้นี้ จักเป็นพระพุทธเจ้าในกัปที่หาประมาณมิได้ นับแต่กัปนี้ไป.
พระตถาคตตั้งความเพียร ฯ ล ฯ จักอยู่ต่อหน้าของท่านผู้นี้.
เราฟังพระดำรัสของพระองค์แล้ว ก็ร่าเริง สลดใจ
ได้ทำความเพียรอย่างแรงกล้า เพื่อให้ประโยชน์นั้นเกิดขึ้น.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 405
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น
บทว่า ตเมวตฺถมนุปตฺติยา ได้แก่ เพื่อให้เกิดความเป็นพระพุทธเจ้านั้น.
อธิบายว่า ก็ครั้นฟังพระดำรัสของพระโสภิตพุทธเจ้าพระองค์นั้นว่า
ในอนาคตกาล ท่านผู้นี้จักเป็นพระพุทธเจ้าพระนามว่า โคตมะ
ดังนี้แล้ว จึงปฏิบัติเพื่อบรรลุถึงความเป็นพระพุทธเจ้า
เพราะว่าพระพุทธเจ้าทั้งหลายมีพระดำรัสไม่ผิด.
บทว่า อุคฺคํ ได้แก่ แรงกล้า.
บทว่า ธิตึ ได้แก่ ความเพียร.
บทว่า อกาสหึ ตัดบทว่า อกาสึ อหํ แปลว่า ข้าพเจ้าได้ทำแล้ว.

พระผู้มีพระภาคเจ้าโสภิตะ พระองค์นั้น
มีพระนครชื่อว่า สุธัมมะ
พระชนกพระนามว่า พระเจ้าสุธัมมะ
พระชนนีพระนามว่า พระนางสุธัมมา
คู่พระอัครสาวกชื่อว่า พระสุเนตตะ และ พระอสมะ
พระพุทธอุปัฏฐากชื่อว่า อโนมะ
คู่พระอัครสาวิกา ชื่อว่า พระนกุลา และ พระสุชาดา
โพธิพฤกษ์ชื่อว่า ต้นนาคะ.
พระสรีระสูง ๕๘ ศอก
พระชนมายุเก้าหมื่นปี
พระอัครมเหสีพระนามว่า มกิลา
พระโอรสพระนามว่า สีหกุมาร.
พระสนมนาฏนารีสามหมื่นเจ็ดพันนาง
ทรงครองฆราวาสวิสัยเก้าพันปี
ทรงออกอภิเนษกรมณ์โดยเสด็จไปพร้อมกับปราสาท.
อุปัฏฐากพระนามว่า พระเจ้าชัยเสนะ.

ด้วยเหตุนั้นจึงตรัสว่า
พระโสภิตพุทธเจ้า ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่
ทรงมีพระนครชื่อว่า สุธัมมะ
พระชนกพระนามว่า พระเจ้าสุธัมมะ
พระชนนีพระนามว่า พระนางสุธัมมา.

พระโสภิตพุทธเจ้า ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่
มีพระอัครสาวก ชื่อว่าพระอสมะ และ พระสุเนตตะ
มีพระพุทธอุปัฏฐากชื่อว่า พระอโนมะ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 406
มีพระอัครสาวิกา ชื่อว่า พระนกุลา และพระสุชาดา.
พระพุทธเจ้าพระองค์นั้น เมื่อตรัสรู้ ก็ตรัสรู้ ณ โคนโพธิพฤกษ์ ชื่อว่า ต้นนาคะ.

พระมหามุนี สูง ๕๘ ศอก
ส่งรัศมีสว่างไปทุกทิศ ดังดวงอาทิตย์อุทัย.
ป่าใหญ่ มีดอกไม้บานสะพรั่ง อบอวลด้วยกลิ่นหอมนานา ฉันใด.
ปาพจน์ของพระโสภิตพุทธเจ้า ก็อบอวลด้วยกลิ่น คือศีลฉันนั้นเหมือนกัน.

ขึ้นชื่อว่า มหาสมุทร อันใครๆ ไม่อิ่มได้ด้วยการเห็น ฉันใด
ปาพจน์ของพระโสภิตพุทธเจ้า อันใครๆ ก็ไม่อิ่มด้วยการฟัง ฉันนั้นเหมือนกัน.

ในยุคนั้น มนุษย์มีอายุเก้าหมื่นปี
พระโสภิตะพุทธเจ้า พระองค์นั้น
เมื่อทรงมีพระชนม์ยืนอย่างนั้นจึงทรงยังหมู่ชนเป็นอันมากให้ข้ามโอฆสงสาร.
พระองค์ทั้งพระสาวก ประทานโอวาทานุศาสน์แก่ชนที่เหลือแล้ว ก็ดับขันธปรินิพพาน
เหมือนดวงไฟไหม้แล้วก็ดับ ฉะนั้น.
พระพุทธเจ้า ผู้เสมอด้วยพระพุทธเจ้าผู้ที่ไม่มีผู้เสมอพระองค์นั้นด้วย
เหล่าพระสาวก ผู้ถึงกำลังเหล่านั้นด้วย
ทั้งนั้นอันตรธานไปสิ้น สังขารทั้งปวงก็ว่างเปล่า แน่แท้.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 407
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น
บทว่า สตรํสีว แปลว่า เหมือนดวงอาทิตย์ ความว่า ส่องแสงสว่างไปทุกทิศ.
บทว่า ปวนํ แปลว่า ป่าใหญ่.
บทว่า ธูปิตํ ได้แก่ อบ ทำให้มีกลิ่น.
บทว่า อตปฺปิโย ได้แก่ ไม่ทำความอิ่มหรือไม่เกิดความอิ่ม.
บทว่า ตาวเท แปลว่า ในกาลนั้น . ความว่า ในกาลเพียงนั้น.
บทว่า ตาเรสิ แปลว่า ให้ข้าม.
บทว่า โอวาทํ ความว่า การสอนครั้งเดียว ชื่อว่า โอวาท.
บทว่า อนุสิฏฺฐึ ความว่า การกล่าวบ่อย ๆ ชื่อว่า อนุสิฏฐิ [อนุศาสน์].
บทว่า เสสเก ชเน ได้แก่ แก่ชนที่เหลือ ซึ่งยังไม่บรรลุการแทงตลอดสัจจะ.
บทว่า หุตาสโนว ตาเปตฺวา แปลว่าเหมือนไฟไหม้แล้ว

อีกอย่างหนึ่ง
ปาฐะก็อย่างนี้เหมือนกัน.
ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า ปรินิพพาน เพราะสิ้นอุปาทาน.
ในคาถาที่เหลือในที่ทุกแห่งง่ายทั้งนั้นแล.
จบพรรณนาวงศ์พระโสภิตพุทธเจ้า

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 408




 

Sitemap 1 2 3 4 5 6 7 8 9