วงศ์ พระธัมมทัสสีพุทธเจ้าที่ ๑๕ - คุยได้ฟังดีกับบรรดาสมาชิกวัด - กระดานสนทนาธรรม
กระดานสนทนาธรรม

ที่พักสงฆ์ป่าสามแยก บ้านห้วยยางทอง ต.วังกวาง อ.น้ำหนาว จ.เพชรบูรณ์ 67260


วงศ์ พระธัมมทัสสีพุทธเจ้าที่ ๑๕

วงศ์ พระธัมมทัสสีพุทธเจ้าที่ ๑๕
« เมื่อ: กันยายน 02, 2024, 10:07:16 PM »

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 540
๑๕. วงศ์พระธัมมทัสสีพุทธเจ้าที่ ๑๕
ว่าด้วยพระประวัติของพระธัมมทัสสีพุทธเจ้า

[๑๖] ในมัณฑกัปนั้นนั่นเอง พระธัมมทัสสีพุทธเจ้า ผู้นำโลก ผู้มีพระยศยิ่งใหญ่ ทรงกำจัด
อนธการคือความมืดได้แล้ว ก็เจิดจ้าในโลกพร้อมทั้งเทวโลก.

ครั้งพระธัมมทัสสีพุทธเจ้า ผู้มีพระเดชไม่มีใครเทียบพระองค์นั้น
ทรงประกาศพระธรรมจักร อภิสมัยครั้งที่ ๑ ก็ได้มีแก่ สัตว์แสนโกฏิ.
ครั้งพระธัมนทัสสีพุทธเจ้า ทรงสั่งสอนสัญชัยฤษี อภิสมัยครั้งที่ ๒ ได้มีแก่ สัตว์เก้าสิบโกฏิ.
ครั้งท้าวสักกะพร้อมทั้งบริษัท เข้าเฝ้าพระผู้นำพิเศษ อภิสมัยครั้งที่ ๓ ก็ได้มีแก่ สัตว์แปดสิบโกฏิ.

พระธัมมทัสสีพุทธเจ้า ผู้เป็นเทพแห่งเทพ พระองค์นั้น
ทรงมีสันนิบาตประชุมพระสาวกขีณาสพ
ผู้ไร้มลทิน มีจิตสงบ คงที่ ๓ ครั้ง.

ครั้งพระธัมมทัสสีพุทธเจ้า เข้าจำพรรษา ณ กรุงสรณะ
พระสาวกพันโกฏิประชุมกัน เป็นสันนิบาตครั้งที่ ๑.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 541
ต่อมาอีก
ครั้งพระพุทธเจ้าเสด็จจากเทวโลกมาสู่มนุษยโลก
พระสาวกร้อยโกฏิประชุมกัน เป็นสันนิบาต ครั้งที่ ๒.

ต่อมาอีก
ครั้งพระพุทธเจ้าทรงประกาศธุดงคคุณ
พระสาวกแปดสิบโกฏิประชุมกัน เป็นสันนิบาตครั้งที่ ๓.

สมัยนั้น เราเป็นท้าวสักกปุรินททะ
ได้บูชาด้วยของหอมดอกไม้และดนตรี อันเป็นทิพย์.
พระพุทธเจ้าแม้พระองค์นั้น ประทับนั่งท่ามกลางเทวดา
ทรงพยากรณ์เราว่า ท่านผู้นี้จักเป็นพระพุทธเจ้า.
พระตถาคต ออกอภิเนษกรณ์จากกรุงกบิลพัสดุ์ตั้งความเพียร ทำทุกกรกิริยา.
พระตถาคต ประทับนั่ง ณ โคนต้นอชปาลนิโครธ
ทรงรับข้าวมธุปายาส ณ ที่นั้นแล้วเสด็จเข้าไปยังแม่น้ำเนรัญชรา.
พระชินเจ้าพระองค์นั้น เสวยข้าวมธุปายาสที่ริม
ฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา เสด็จดำเนินตามทางดี อันเขาจัดแต่งไว้แล้ว ไปที่โคนโพธิพฤกษ์.
แต่นั้น พระผู้มีพระยศใหญ่
ทรงทำประทักษิณโพธิมัณฑสถานอันยอดเยี่ยม ตรัสรู้ ณ โคนโพธิพฤกษ์ชื่อต้นอัสสัตถะ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 542
ท่านผู้นี้ จักมีพระชนนีพระนามว่า พระนางมายา
พระชนกพระนามว่า พระเจ้าสุทโธทนะ
ท่านผู้นี้จักเป็นพระโคตมะ.
พระอัครสาวก ชื่อว่า พระโกลิตะ และพระอุปติสสะ
ผู้ไม่มีอาสวะ ปราศจากราคะ มีจิตสงบ ตั้งมั่น
พระพุทธอุปัฏฐาก ชื่อว่าพระอานันทะ จักบำรุงท่านพระชินเจ้าพระองค์นี้.
พระอัครสาวิกา ชื่อว่าพระเขมา และ พระอุบลวรรณา
ผู้ไม่มีอาสวะ ปราศจากราคะ มิจิตสงบ ตั้งมั่น
โพธิพฤกษ์ของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นเรียกว่า ต้นอัสสัตถะ.
อัครอุปัฏฐาก ชื่อว่า จิตตะ และหัตถกะอาฬวกะ
อัครอุปัฏฐายิกา ชื่อว่า นันทมาตา และ อุตตรา
พระโคดม ผู้มีพระยศพระองค์นั้น จักมีพระชนมายุ ๑๐๐ ปี.

มนุษย์และเทวดาทั้งหลาย
ฟังพระดำรัสนี้ของพระธัมมทัสสีพุทธเจ้า ผู้ไม่มีผู้เสมอ ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่พระองค์นั้นแล้ว
ก็ปลาบปลื้มใจว่า ท่านผู้นี้เป็นหน่อพุทธางกูร.
หมื่นโลกธาตุ พร้อมทั้งเทวโลก ก็พากันโห่ร้อง
ปรบมือ หัวร่อร่าเริง ประคองอัญชลีนมัสการ กล่าวว่า
ผิว่า พวกเราจักพลาดพระศาสนาของพระโลกนาถ พระองค์นิไซร้
ในอนาคตกาล พวกเราก็จักอยู่ต่อหน้าของท่านผู้นี้.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 543
มนุษย์ทั้งหลาย เมื่อข้ามแม่น้ำ พลาดท่าน้ำข้างหน้า
ก็ถือเอาท่าน้ำข้างหลัง ข้ามแม่น้ำใหญ่ ฉันใด.
พวกเราทั้งหมด ผิว่า ผ่านพ้นพระชินพุทธเจ้า
พระองค์นี้ไซร้ ในอนาคตกาล พวกเราก็จักอยู่ต่อหน้าของท่านผู้นี้ ฉันนั้นเหมือนกัน.
เราฟังพระดำรัสของพระองค์แล้ว ก็ยิ่งเลื่อมใส จึงอธิษฐานข้อวัตรยิ่งยวดขึ้นไป
เพื่อบำเพ็ญบารมี ๑๐ ให้บริบูรณ์.

พระธัมมทัสสีศาสดา
มีพระนคร ชื่อว่า สรณะ
พระชนกพระนามว่า พระเจ้าสรณะ
พระชนนีพระนามว่า พระนางสุนันทา.
พระองค์ครองฆราวาสวิสัยอยู่แปดพันปี
มีปราสาทอย่างเยี่ยม ๓ หลัง ชื่อว่า อรชะ วิรชะ และสุทัสสนะ.
มีพระสนมนารี แต่งกายงามสี่หมื่นนาง
พระอัครมเหสี พระนามว่า พระนางวิจิโกฬี
พระโอรสพระนามว่า พระปุญญวัฒนะ.
พระผู้เป็นยอดบุรุษ ทรงเห็นนิมิต ๔ เสด็จออก
อภิเนษกรมณ์ด้วยปราสาท ทรงบำเพ็ญเพียร ๗ วัน.

พระมหาวีระ ธัมมทัสสีนราสภ
ผู้เลิศกว่านรชนอันท้าวมหาพรหมอาราธนาแล้ว
ทรงประกาศ พระธรรมจักร ณ มิคทายวัน.
พระอัครสาวก ชื่อว่า พระปทุมะ พระปุสสเทวะ
พระพุทธอุปัฏฐากชื่อว่า พระสุทัตตะ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 544
พระอัครสาวกาชื่อว่า พระเขมาและ พระสัจจนามา
โพธิพฤกษ์ของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น เรียกว่าพิมพิชาละ ต้นมะกล่ำเครือ.
อัครอุปัฏฐากชื่อว่า สุภัททะ และกฏิสสหะ
อัครอุปัฏฐายิกา ชื่อว่า สาฬิสา และกฬิสสา.
พระพุทธเจ้า ผู้เสมอด้วยพระพุทธเจ้า ผู้ไม่มีผู้เสมอ สูง ๘๐ ศอก
รุ่งโรจน์ด้วยพระเดช ในหมื่นโลกธาตุ.
พระองค์งดงาม เหมือนต้นพญาสาลพกฤษ์ที่ออกดอกบานสะพรั่ง
เหมือนสายฟ้าในนภากาศเหมือนดวงอาทิตย์เที่ยงวัน.
พระผู้มีพระจักษุดำรงอยู่ในโลกแสนปี
พระชนมายุของพระองค์ ผู้มีพระเดชไม่มีใครเทียบ พระองค์นั้น ก็เท่าๆ กับสัตว์อื่น.
พระองค์ทั้งพระสาวก
ทรงแสดงพระรัศมีทำพระศาสนาให้ไร้มลทินแล้ว ก็ดับขันธปรินิพพาน
เหมือนดวงจันทร์เคลื่อนจากท้องนภากาศ.

พระมหาวีระธัมมทัสสี ปรินิพพาน ณ พระวิหารเกสาราม
พระสถูปของพระองค์สูง ๓ โยชน์.
จบวงศ์พระธัมมทัสสีพุทธเจ้าที่ ๑๕
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 545

พรรณนาวงศ์พระธัมมทัสสีพุทธเจ้าที่ ๑๕
เมื่อพระอัตถทัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว อันตรกัปก็ล่วงไปแล้ว
เมื่อสัตว์ทั้งหลายที่มีอายุนับไม่ได้ลดลงโดยลำดับ จนมีอายุได้แสนปี
พระศาสดาพระนามว่า ธัมมทัสสี
ผู้ทำความสว่างแก่โลก ทำการกำจัดมลทินมีโลภะเป็นต้น เป็นนายกเอกของโลก
อุบัติขึ้นในโลก พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น
ก็ทรงบำเพ็ญบารมีทั้งหลายบังเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต
จุติจากนั้นแล้ว ก็ทรงถือปฏิสนธิในพระครรภ์ของ พระนางสุนันทาเทวี
อัครมเหสีของพระเจ้าสรณะ ผู้เป็นที่พึ่งของโลกทั้งปวง ณ กรุงสรณะ
ถ้วนกำหนดทศมาส พระองค์ก็ประสูติจากพระครรภ์พระชนนี ณ สรณะราชอุทยาน
เหมือนจันทร์เพ็ญโคจรลอดช่องเมฆ ในฤดูฝน เมื่อพระมหาบุรุษ
พอประสูติจากพระครรภ์พระชนนีเท่านั้น
โวหารการว่ากล่าวที่ไม่ชอบธรรม ในศาสตร์และคัมภีร์อันกล่าวด้วยเรื่องอธิกรณ์ (การตัดสินคดี)
ก็เสื่อมหายไปเองแล ดำรงอยู่แต่การว่ากล่าวที่ชอบธรรมเท่านั้น
ด้วยเหตุนั้น ในวันเฉลิมพระนามของพระองค์
พระชนกชนนีจึงเฉลิมพระนามว่า ธัมมทัสสี
พระองค์ครองฆราวาสวิสัยอยู่แปดพันปี
นัยว่าทรงมีปราสาท ๓ หลัง ชื่อว่า อรชะ วิรชะ และ สุทัสสนะ
มีพระสนมนารีสองแสนสองหมื่นนาง
มีพระนาง วิจิโกฬิเทวี เป็นประมุข.

เมื่อพระโอรสพระนามว่า ปุญญวัฒนะ ของพระนาง วิจิโกฬิเทวีสมภพ
พระมหาบุรุษนั้น ทรงเห็นนิมิต ๔ ทรงเป็นสุขุมาลชาติอย่างยิ่งเหมือนเทพกุมาร
เสวยสมบัติเหมือนเทพสมบัติ
ทรงลุกขึ้นในยามกลาง ประทับบนที่สิริไสยาสน์
ทรงเห็นอาการอันวิการของเหล่าสนมที่หลับไหล ก็เกิดสังเวช เกิดจิตคิดออกมหาภิเนษกรมณ์
ในลำดับเกิดจิตนั่นแล
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 546
สุทัสสนปราสาทของพระองค์ก็ลอยขึ้นสู่นภากาศ อันจตุรงค์เสนาแวดล้อมแล้ว
ลอยไปเหมือนดวงอาทิตย์และเหมือนเทพวิมาน
แล้วก็ลงตั้งอยู่ใกล้โพธิพฤกษ์ชื่อต้น รัตตกุรวกะ มะกล่ำทอง

ได้ยินว่า
พระมหาบุรุษ ทรงรับผ้ากาสายะที่ท้าวมหาพรหมน้อมถวาย
ทรงผนวชแล้ว เสด็จลงจากปราสาท ประทับยืนอยู่ไม่ไกล.
ปราสาทก็ลอยไปทางอากาศอีก ทำโพธิพฤกษ์ไว้ข้างในแล้วตั้งลงที่แผ่นดิน
แม้นางสนมนารีพร้อมทั้งบริวาร ก็ลงจากปราสาท เดินไปชั่วครึ่งคาวุตก็หยุด ณ ที่นั้น
เว้น นางสนมนารี ปริจาริกาและหญิงรับใช้ของนางสนมเหล่านั้น
มนุษย์ทุกคนก็บวชตามเสด็จ ภิกษุทั้งหลาย ก็มีจำนวนถึงแสนโกฏิ.

ลำดับนั้น
พระธัมมทัสสีโพธิสัตว์
ทรงบำเพ็ญความเพียร ๗ วัน
เสวยข้าวมธุปายาสที่ พระนางวิจิโกฬิเทวี ถวาย
ทรงพักกลางวัน ณ ป่าพุทรา
เวลาเย็นทรงรับหญ้า ๘ กำ ที่คนเฝ้าไร่ข้าวเหนียวชื่อสิริวัฒนะถวาย
แล้วเสด็จไปยังโพธิพฤกษ์ชื่อพิมพิชาละ ต้นมะกล่ำเครือ
ทรงลาดสันถัตหญ้ากว้าง ๕๓ ศอก
ทรงแทงตลอดพระสัพพัญญุตญาณ ณ โพธิพฤกษ์นั้น
ทรงเปล่งพระอุทานว่า อเนกชาติสํสารํ ฯ ล ฯ ตณฺหานํ ขยมชฺฌคา แล้ว
ทรงยับยั้งอยู่ใกล้ ๆ โพธิพฤกษ์ ๗ สัปดาห์
ทรงรับอาราธนาท้าวมหาพรหมแล้วทรงทราบว่า
ภิกษุแสนโกฏิที่บวชกับพระองค์เป็นผู้สามารถแทงตลอดพระสัทธรรมได้
ก็เสด็จหนทาง ๑๘ โยชน์ วันเดียวเท่านั้นก็ถึงอิสิปตนะ อันภิกษุเหล่านั้นแวดล้อมแล้ว
ก็ทรงประกาศพระธรรมจักร ณ อิสิปตนะนั้น ครั้งนั้นอภิสมัยครั้งที่ ๑ ก็ได้มีแก่ภิกษุแสนโกฏิ.
ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
ในมัณฑกัปนั้นนั่นเอง
พระธัมมทัสสีพุทธเจ้า ผู้มีพระยศยิ่งใหญ่
ก็กำจัดความมืดมนอนธการแล้วเจิดจ้าในโลกนี้พร้อมทั้งเทวโลก.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 547

ในกาลที่พระธัมมทัสสีพุทธเจ้า ผู้มีพระเดชที่ไม่มีผู้เทียบได้พระองค์นั้น
ทรงประกาศพระธรรมจักร อภิสมัยครั้งที่ ๑ ได้มีแก่ ภิกษุแสนโกฏิ.
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น
บทว่า ตมนฺธการํ ความว่า ได้แก่ อนธการ คือโมหะ ที่ชื่อว่า ตมะ.

ครั้งพระราชาพระนามว่า สัญชัย ในนครชื่อ ตคระ
ทรงเห็นโทษในกาม และคุณอันเกษมในเนกขัมมะ จึงทรงผนวชเป็นฤษี
คนเก้าหมื่นโกฏิบวชตามเสด็จ ชนเหล่านั้น ได้อภิญญา ๕ และสมาบัติ ๘ หมดทุกคน
ครั้งนั้น พระธัมมทัสสีศาสดาทรงเห็นอุปนิสสัยสมบัติของชนเหล่านั้น
จึงเสด็จไปทางอากาศ ถึงอาศรมบทของสัญชัยดาบสแล้ว ทรงยืนอยู่ในอากาศ
ทรงแสดงธรรมอันเหมาะแก่อัธยาศัยของดาบสเหล่านั้น
ทรงยังธรรมจักษุให้เกิดขึ้นนั้น เป็นอภิสมัย ครั้งที่ ๒.
ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า

ครั้งพระธัมมทัสสีพุทธเจ้า
ทรงสั่งสอนสัญชัยฤษี อภิสมัยครั้งที่ ๒ ได้มีแก่ สัตว์เก้าสิบโกฏิ.
ครั้งท้าวสักกะจอมทวยเทพ
ประสงค์จะฟังธรรมของพระทศพล จึงเสด็จเข้าไปเฝ้า อภิสมัยครั้งที่ ๓ ได้มีแก่สัตว์แปดสิบโกฏิ.

ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
ครั้งท้าวสักกะพร้อมทั้งบริษัทเข้าเฝ้า
พระผู้เป็นนายกพิเศษ อภิสมัยครั้งที่ ๓ ได้มีแก่ สัตว์แปดสิบโกฏิ.
 
ส่วนครั้ง พระธัมมทัสสีพุทธเจ้า
ทรงบวช พระปทุมกุมาร และพระปุสสเทวกุมาร
พระกนิษฐภาดาต่างพระมารดา พร้อมทั้งบริวารในกรุงสรณะ
ทรงทำสุทธิปวารณา ท่ามกลางภิกษุแสนโกฏิ
ซึ่งบวชภายในพรรษานั้น นั้นเป็นสันนิบาต ครั้งที่ ๑
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 548

ต่อมาอีก
ครั้งพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จลงจากเทวโลก
ภิกษุร้อยโกฏิประชุมกัน เป็นสันนิบาตครั้งที่ ๒
ครั้งพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประกาศคุณานิสงส์เเห่งธุดงค์ ๑๓ ณ พระสุทัสสนาราม
ทรงสถาปนาพระมหาสาวก ชื่อ หาริตะ ไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะ
ทรงยกปาติโมกข์ขึ้นแสดงท่ามกลางภิกษุแปดสิบโกฏิ นั้นเป็นสันนิบาต ครั้งที่ ๓.

ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
พระธัมมทัสสี ผู้เป็นเทพแห่งเทพ แม้พระองค์นั้น
ทรงมีสันนิบาตประชุมพระสาวกขีณาสพ ผู้ไร้มลทิน มีจิตสงบ คงที่ ๓ ครั้ง.

ครั้งพระธัมมทัสสีพุทธเจ้า จำพรรษา ณ กรุงสรณะ
ภิกษุสาวกแสนโกฏิประชุมกัน เป็นสันนิบาตครั้งที่ ๑.
ต่อมาอีก
ครั้งพระพุทธเจ้าเสด็จจากเทวโลกมา
สู่มนุษย์โลก ภิกษุสาวกร้อยโกฏิประชุมกัน เป็นสันนิบาตครั้งที่ ๒.

ต่อมาอีก
ครั้งพระพุทธเจ้าทรงประกาศธุดงคคุณ
ภิกษุสาวกแปดสิบโกฏิประชุมกัน เป็นสันนิบาตครั้งที่ ๓.

ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์ของเรา เป็นท้าวสักกเทวราช
อันทวยเทพในเทวโลกทั้งสองแวดล้อมแล้ว
เสด็จมาบูชาพระตถาคต ด้วยของทิพย์มีของหอมและดอกไม้เป็นต้น และด้วยทิพยดนตรี
พระศาสดาแม้พระองค์นั้น ก็ทรงพยากรณ์พระโพธิสัตว์นั้นว่า
ในอนาคตกาล จักเป็นพระพุทธเจ้าพระนามว่า โคตมะ.

ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 549
ครั้งนั้น เราเป็นท้าวสักกปุรินททะ ได้บูชาด้วยของหอม ดอกไม้ และดนตรีทิพย์.
พระพุทธเจ้าแม้พระองค์นั้น ประทับนั่งท่ามกลางเทวดา
ทรงพยากรณ์เราว่า ล่วงไป ๑,๘๐๐ กัป ท่านผู้นี้จักเป็นพระพุทธเจ้า.
พระตถาคตทรงตั้งความเพียร ฯ ล ฯ จักอยู่ต่อหน้าของท่านผู้นี้.
เราฟังพระดำรัสของพระองค์แล้ว ก็ยิ่งเลื่อมใส
จึงอธิษฐานข้อวัตรยิ่งยวดขึ้นไป เพื่อบำเพ็ญบารมี ๑๐ ให้บริบูรณ์.

พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น
ทรงมีพระนครชื่อ สรณะ
พระชนกพระนามว่า พระเจ้าสรณะ
พระชนนีพระนามว่า พระนางสุนันทา
คู่พระอัครสาวกชื่อว่า พระปรุมะ และ พระปุสสเทวะ
พระพุทธอุปัฏฐากชื่อว่า สุเนตตะ๑
คู่พระอัครสาวิกา ชื่อว่า พระเขมา และ พระสัจจนามา
โพธิพฤกษ์ชื่อว่า พิมพิชาละ ต้นมะกล่ำเครือ
พระสรีระสูง ๘๐ ศอก
พระชนมายุแสนปี
พระอัครมเหสีพระนามว่า พระนางวิจิโกฬิเทวี
พระโอรสพระนามว่า พระปุญญวัฒนะ ออกอภิเนษกรมณ์ด้วยปราสาท.
ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
พระธัมมทัสสีศาสดา
ทรงมีพระนครชื่อว่าสรณะ
พระชนกพระนามว่า พระเจ้าสรณะ
พระชนนีพระนามว่า พระนางสุนันทา.
พระธัมมทัสสีศาสดา มีพระอัครสาวก ชื่อว่า
พระปทุมะ และ พระปุสสเทวะ พระพุทธอุปัฏฐากชื่อว่า พระสุเนตตะ.
๑. บาลีเป็น ลุทัตตะ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 550
พระอัครสาวิกาชื่อว่าพระเขมาและพระสัจจนามา
โพธิพฤกษ์ของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น เรียกว่า ต้นพิมพิชาละ.
พระพุทธเจ้า ผู้เสมอด้วยพระพุทธเจ้า ผู้ไม่มีผู้เสมอพระองค์นั้น สูง ๘๐ ศอก
ทรงรุ่งโรจน์ด้วยพระเดชในหมื่นโลกธาตุ.
พระพุทธเจ้าพระองค์นั้น งดงามเหมือนต้นพญาสาลพฤกษ์ที่ออกดอกบานสะพรั่ง
เหมือนสายฟ้าในนภากาศ เหมือนดวงอาทิตย์เที่ยงวัน.
พระผู้มีพระจักษุดำรงอยู่ในโลกแสนปี
พระชนมายุของพระผู้มีพระเดช ที่ไม่มีใครเทียบพระองค์นั้น ก็เท่านั้น.
พระองค์ทั้งพระสาวก แสดงพระรัศมีทำพระศาสนาให้ไร้มลทินแล้ว
ก็ปรินิพพานเหมือนดวงจันทร์เคลื่อนจากต้องนภากาศ.

แก้อรรถ
ต้นมะกล่ำทอง ชื่อว่า ต้นพิมพิชาละในพระคาถานั้น.
บทว่า ทสสหสฺสิมฺหิ ธาตุยา ก็คือ ทสสหสฺสิยา โลกธาตุยา ในหมื่นโลกธาตุ.
บทว่า วิชฺชูว ก็คือ วิชฺชุลตา วิย เหมือนสายฟ้า.
บทว่า อุปโสภถ ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น
งดงามเหมือนสายฟ้าและเหมือนดวงอาทิตย์งามเวลาเที่ยงวันฉะนั้น .
บทว่า สมกํ ความว่า พระชนมายุของพระองค์ ก็เท่า ๆ กับนรสัตว์ทั้งปวง.
บทว่า จวิ แปลว่า เคลื่อนแล้ว.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 551
บทว่า จนฺโทว ความว่า เหมือนดวงจันทร์เคลื่อนจากท้องฟ้า.
ได้ยินว่า
พระผู้มีพระภาคเจ้าธัมมทัสสี ดับขันธปรินิพพาน ณ พระวิหารเกสาราม กรุงสาลวดี
คำที่เหลือในคาถาทุกแห่งชัดแล้วทั้งนั้นแล.
จบพรรณนาวงศ์พระธัมมทัสสีพุทธเจ้า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 552



 

Sitemap 1 2 3 4 5 6 7 8 9