บทว่า โลกนฺตริกา ความว่าช่องว่างอันหนึ่งๆในระหว่างจักรวาลทั้ง ๓ ย่อมมีในที่สุดโลก
ดุจช่องว่างในท่ามกลางล้อเกวียน ๓ ล้อ หรือแผ่น ๓ แผ่นที่วาง ทับกันฉะนั้น.
ก็โลกันตรนรกนั้นโดยส่วนกว้างถึง ๘,๐๐๐ โยชน์.
บทว่า อฆา คือ เปิดเป็นนิจ.
บทว่า อสํวุตา ความว่า แม้ข้างล่างก็ไม่มีตั้งไว้.
บทว่า อนฺธการา คือ มืดมิด.
บทว่า อนฺธการติมิสา ความว่า ประกอบด้วยหมอกอันทำความมืด
พ้นจากจักขุวิญญาณ. นัยว่า จักขุวิญญาณย่อมไม่เกิด ณที่นั้น.
บทว่า เอวํมหิทฺธิกา ความว่า พระจันทร์และพระอาทิตย์ย่อมปรากฏใน ๓ ทวีป
โดยส่องแสงครั้งเดียวเท่านั้น อย่างนี้ชื่อว่า พระจันทร์และพระอาทิตย์มีฤทธิ์มาก.
พระจันทร์และพระอาทิตย์กำจัดความมืดตลอดหนึ่งล้านแปดแสนโยชน์ในทิศหนึ่ง ๆ แล้วส่องแสงสว่าง
อย่างนี้ชื่อว่าพระจันทร์และพระอาทิตย์มีอานุภาพมาก.
บทว่า อาภาย นานุโภนฺติ ความว่า แสงสว่างของตนไม่พอ.
นัยว่า พระจันทร์และพระอาทิตย์เหล่านั้นแล่นไปท่ามกลางจักรวาลบรรพต.
ก็โลกันตรนรกเลยจักรวาลบรรพตไป เพราะฉะนั้น พระจันทร์และพระอาทิตย์เหล่านั้นจึงมีแสงสว่างไม่พอในที่นั้น.
บทว่า เยปิ ตตฺถ สตฺตา ความว่า แม้สัตว์เหล่าใดเกิดแล้วในโลกันตรมหานรกนั้น.
ถามว่า ก็สัตว์เหล่านั้นกระทำกรรมอะไรไว้จึงเกิดในโลกันตรมหานรกนั้น.
ตอบว่า ทำกรรมหนักคือหยาบช้า.
สัตว์เหล่านั้นกระทำความผิดต่อ
มารดาบิดาและสมณพราหมณ์ผู้ตั้งอยู่ในธรรมและกรรมร้ายกาจมีฆ่าสัตว์
เป็นต้นทุกวัน ๆ ย่อมเกิดในโลกันตรนรกนั้น ดุจอภยโจรและนาคโจร
เป็นต้นในตามพปัณณิทวีป ร่างกายของสัตว์เหล่านั้นสูง ๓ คาวุต มีเล็บ
ยาวเหมือนเล็บค้างคาว สัตว์เหล่านั้นเกาะอยู่บนจักรวาลบรรพตด้วยเล็บ
เหมือนค้างคาวเกาะอยู่บนต้นไม้ฉะนั้น
เมื่อใดสัตว์เหล่านั้นคลานไปถูกฝ่ามือของกันและกันเข้า
เมื่อนั้นก็สำคัญว่า เราพบอาหารแล้วจึงวิ่งหมุนไปรอบ ๆ แล้วก็ตกไปบนน้ำหนุนโลก
หน้าที่ 103
เมื่อลมปะทะก็ขาดตกลงไปในน้ำเหมือนผลมะทราง พอตกลงไปแล้วก็
ละลายเหมือนก้อนแป้งตกลงไปในน้ำที่เค็มจัด.
บทว่า อญฺเญปิ กิร โภ สนฺติ สตฺตา
ความว่า สัตว์ทั้งหลายย่อมเห็นกันในวันนั้นว่า โอ้โฮแม้สัตว์เหล่าอื่นก็เกิด
ในที่นี้ เพื่อเสวยทุกข์เหมือนอย่างพวกเราเสวยทุกข์ยิ่งใหญ่ฉะนั้น.
ก็แสงสว่างนี้ไม่ตั้งอยู่นาน ตั้งอยู่เพียงดื่มข้าวยาคูครั้งเดียว เปล่งออก
เหมือนแสงสายฟ้าเพียงลัดนิ้วมือเดียวเท่านั้น เมื่อสัตว์ทั้งหลายพูดว่านี้
อะไรก็หายไป.