พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 424
๘. วงศ์พระปทุมพุทธเจ้าที่ ๘
ว่าด้วยพระประวัติของพระปทุมพุทธเจ้า
[๙] ต่อจากสมัยของพระอโนมทัสสีพุทธเจ้า
พระปทุมสัมพุทธเจ้า ผู้เป็นยอดของสัตว์สองเท้า ผู้ไม่มีผู้เสมอ ไม่มีผู้เทียบ.
ทั้งศีลของพระองค์ไม่มีอะไรเสมอ ทั้งสมาธิ ก็ไม่มีที่สุด
ทั้งพระญาณอันประเสริฐก็นับไม่ได้
ทั้งวิมุตติก็ไม่มีอะไรเปรียบ.
อภิสมัย อันลอยเสียซึ่งความมืดใหญ่ของพระองค์ผู้มีพระเดชอันชั่งไม่ได้
ในการประกาศพระธรรมจักรมี ๓ ครั้ง.
อภิสมัยครั้งที่ ๑ พระพุทธเจ้าทรงยังสัตว์ร้อยโกฏิให้ตรัสรู้
อภิสมัยครั้งที่ ๒ พระจอมปราชญ์ทรงยังสัตว์เก้าสิบโกฏิให้ตรัสรู้.
ครั้งพระปทุมพุทธเจ้า ทรงโอวาทพระโอรสของพระองค์เอง
อภิสมัยครั้งที่ ๓ ได้มีแก่สัตว์แปดสิบโกฏิ.
พระปทุมพุทธเจ้า ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่
ทรงมีสันนิบาตประชุมพระสาวก ๓ ครั้ง
ครั้งที่ ๑ เป็นการประชุมสาวกแสนโกฏิ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 425
เมื่อกฐินจีวรเกิดขึ้น ในสมัยกรานกฐิน
ภิกษุทั้งหลายช่วยกันเย็บจีวร
เพื่อ พระสาลเถระ พระธรรมเสนาบดี.
ครั้งนั้น ภิกษุเหล่านั้น
ผู้ไร้มลทิน มีอภิญญา ๖มีฤทธิ์มาก
ไม่แพ้ใคร จำนวนสามแสนโกฏิ ก็ประชุมกัน.
ต่อมาอีก
พระนราสภพระองค์นั้น เสด็จเข้าจำพรรษา ณ ป่าใหญ่
ครั้งนั้น เป็นการประชุมพระสาวกสองแสนโกฏิ.
สมัยนั้น เราเป็นราชสีห์เจ้าแห่งมฤค
ได้เห็นพระชินพุทธเจ้า ซึ่งกำลังเพิ่มพูนความสงัด ในป่าใหญ่.
เราใช่เศียรเกล้าถวายบังคมพระบาท ทำประทักษิณพระองค์
บันลือสีหนาท ๓ ครั้ง บำรุงพระชินพุทธเจ้า ๗ วัน.
๗ วัน พระตถาคตทรงออกจากนิโรธสมาบัติ
ทรงพระดำริด้วยพระหฤทัย ก็ทรงนำภิกษุมานับโกฏิ.
แม้ครั้งนั้น พระมหาวีระก็ทรงพยากรณ์เราท่ามกลางภิกษุเหล่านั้นว่า
ผู้นี้จักเป็นพระพุทธเจ้าในกัปที่หาประมาณมิได้ นับแต่กัปนี้ไป.
พระตถาคต ออกอภิเนษกรมณ์จากกรุงกบิลพัศดุ์ที่น่ารื่นรมย์ ตั้งความเพียร ทำทุกกรกิริยา.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 426
ตถาคตประทับนั่ง ณ โคนต้นอชปาลนิโครธ
ทรงรับข้าวมธุปายาส ณ ที่นั้นแล้ว เข้าไปยังแม่น้ำเนรัญชรา.
พระชินพุทธเจ้าพระองค์นั้น เสวยข้าวมธุปายาส ณ ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา
เสด็จไปตามทางอันดีที่จัดแต่งแล้ว เข้าไปที่โคนโพธิพฤกษ์.
แต่นั้น พระผู้มีพระยศใหญ่ ก็ทำประทักษิณโพธิมัณฑสถานอันยอดเยี่ยม
ตรัสรู้ ณ โคนโพธิพฤกษ์ชื่อต้นอัสสัตถะ.
ผู้นี้จักมีพระชนนี พระนามว่า พระนางมายา
พระชนกพระนามว่า พระเจ้าสุทโธทนะ
ผู้นี้จักมีพระนามว่า โคตมะ.
จักมีพระอัครสาวกชื่อว่า พระโกลิตะ และพระอุปติสสะ
ผู้ไม่มีอาสวะ ปราศจากราคะ มีจิตสงบตั้งมั่น
พระพุทธอุปัฏฐากชื่อว่าพระอานันทะ จักบำรุงพระชินเจ้าผู้นี้.
จักมีพระอัครสาวิกา ชื่อว่า พระเขมา และพระอุบลวรรณา
ผู้ไม่มีอาสวะ ปราศจากราคะ มีจิตสงบตั้งมั่น.
โพธิพฤกษ์ของ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นเรียกว่าต้นอัสสัตถะ
อัครอุปัฏฐาก ชื่อว่า จิตตะ และหัตถะอาฬวกะ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 427
อัครอุปัฏฐายิกา ชื่อว่า นันทมาตาและอุตตรา.
พระโคดม ผู้มีพระยศ มีพระชนมายุ ๑๐๐ ปี.
มนุษย์และเทวดาทั้งหลาย ฟังพระดำรัสนี้ของ
พระปทุมพุทธเจ้า ที่ไม่มีผู้เสมอ ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่
ก็พากันปลาบปลื้มใจว่า ผู้นี้เป็นหน่อพุทธางกูร.
หมื่นโลกธาตุทั้งเทวโลก ก็พากันโห่ร้องปรบมือ
หัวร่อร่าเริง ประคองอัญชลีนมัสการกล่าวว่า
ผิว่า พวกเราจักพลาดคำสั่งสอน ของพระโลกนาถพระองค์นี้ไซร้
ในอนาคตกาลพวกเราก็จักอยู่ต่อหน้าของท่านผู้นี้.
มนุษย์ทั้งหลาย เมื่อข้ามแม่น้ำ พลาดท่าน้ำข้าง
หน้า ก็ถือเอาท่าน้ำข้างหลัง ข้ามแม่น้ำใหญ่ ฉันใด.
พวกเราทั้งหมด ผิว่า จะผ่านพ้นพระชินพุทธเจ้า
พระองค์นี้ไซร้ ในอนาคตกาล
พวกเราก็จักอยู่ต่อหน้าของท่านผู้นี้ ฉันนั้นเหมือนกัน.
เราฟังพระดำรัสของพระองค์แล้ว ก็ยิ่งเลื่อมใส
จึงอธิษฐานข้อวัตรยิ่งยวดขึ้นไป เพื่อบำเพ็ญบารมีใหญ่บริบูรณ์.
พระปทุมพุทธเจ้า ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่
ทรงมีพระนครชื่อว่า จัมปกะ
พระชนกพระนามว่า พระเจ้าอสมะ
พระชนนีพระนามว่า พระนางอสมา.
พระองค์ครองฆราวาสวิสัย หมื่นปี
มีปราสาทชั้นเยี่ยม ๓ หลัง ชื่อ นันทะ วสุ และ ยสัตตระ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 428
มีพระสนมนารี ที่แต่งกายงาม สามหมื่นสามพันนาง
มีพระอัครมเหสี พระนามว่า พระนางอุตตรา
พระโอรสพระนามว่า รัมมะ.
พระชินพุทธเจ้าทรงเห็นนิมิต ๔
เสด็จออกอภิเนษกรมณ์ ด้วยยานคือ รถ
ทรงตั้งความเพียร ๘ เดือนเต็ม.
พระมหาวีระ ปทุมพุทธเจ้า ผู้นำโลก ผู้สงบ
อันท้าวมหาพรหมอาราธนาแล้ว
ทรงประกาศพระธรรมจักร ณ ธนัญชัยราชอุทยาน อันสูงสุด.
พระปทุมพุทธเจ้า ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่
มีพระอัครสาวชื่อว่า พระสาละ และ พระอุปสาละ
พระพุทธอุปัฏฐา ชื่อว่า พระวรุณะ.
มีพระอัครสาวิกาชื่อว่าพระราชา และพระสุราธา
โพธิพฤกษ์ของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นเรียกว่า
ต้นมหาโสณะ (ไม้อ้อยช้างใหญ่).
มีอัครอุปัฏฐากชื่อว่า สภิยะ และ อสมะ
มีอัครอุปัฏฐายิกา ชื่อว่า รุจิ และ นันทิมารา.
พระมหามุนีสูง ๕๘ ศอก
พระรัศมีของพระองค์ไม่มีอะไรเสมอ แล่นออกไปทุกทิศ.
แสงจันทร์ แสงอาทิตย์ แสงรัตนะ แสงไฟและแสงมณี เหล่านั้น
พอถึงรัศมีพระชินเจ้าอันสูงสุดก็ถูกกำจัดไปสิ้น.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 429
ในยุคนั้น มนุษย์มีอายุแสนปี พระองค์ทรงมี
พระชนม์ยืนถึงเพียงนั้น จึงทรงยังหมู่ชนเป็นอันมากให้ข้ามโอฆสงสาร.
พระปทุมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทั้งพระสาวก ยัง
เวไนยสัตว์ ผู้มีอินทรีย์แก่กล้าแล้วให้ตรัสรู้ไม่เหลือ
เลย ส่วนที่เหลือ ก็ทรงพร่ำสอน แล้วก็ดับขันธปรินิพพาน.
พระองค์ทรงละสังขารทุกอย่าง เหมือนงูลอก
คราบ เหมือนต้นไม้สลัดใบเก่า แล้วก็ดับขันธปรินิพพาน เหมือนดวงไฟ ฉะนั้น.
พระปทุมศาสดา พระชินะผู้ประเสริฐ
ดับขันธปรินิพพาน ณ พระวิหาร ธัมมาราม
พระบรมสารีริกธาตุ ก็แผ่กระจายไปเป็นส่วนๆ ณ ประเทศนั้น ๆ.
จบวงศ์พระปทุมพุทธเจ้าที่ ๘
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 430
พรรณนาวงศ์พระปทุมพุทธเจ้าที่ ๘
ต่อจากสมัยของพระผู้มีพระภาคเจ้าอโนมทัสสี
มนุษย์ทั้งหลายมีอายุแสนปีแล้วลดลงโดยลำดับจนมีอายุ ๑๐ ปี
แล้วเพิ่มขึ้นโดยลำดับอีก จนมีอายุแสนปี.
ครั้งนั้น พระศาสดาพระนามว่า ปทุม ทรงอุบัติขึ้นในโลก.
แม้พระศาสดาพระองค์นั้น ก็ทรงบำเพ็ญบารมี บังเกิดขึ้นสวรรค์ชั้นดุสิต
จุติจากนั้นแล้ว ก็ถือปฏิสนธิในพระครรภ์ของพระนางอสมา ผู้ที่ไม่มีผู้เสมอด้วย
พระรูปเป็นต้น อัครมเหสีในราชสกุลของ พระเจ้าอสมราช กรุงจัมปกะ.
ครบกำหนดทศมาแล้ว พระองค์ก็ประสูติจากพระครรภ์ของพระชนนี ณ จัมปกะราชอุทยาน.
เมื่อพระกุมารสมภพ ฝนปทุมหล่นจากอากาศตกลงที่ท้าย มหาสมุทรทั่วชมพูทวีป.
ด้วยเหตุนั้น ในวันขนานพระนามพระกุมารนั้น
พวกโหรและเหล่าพระประยูรญาติ จึงขนานพระนามว่า มหาปทุมกุมาร
พระองค์ทรงครองฆราวาสวิสัยอยู่หมื่นปี
ทรงมีปราสาท ๓ หลัง ชื่อว่านันทุตตระ วสุตตระ และยสุตตระ.
ปรากฏ พระสนมนารีสามหมื่นสามพันนาง
มีพระนางอุตตราเทวีเป็นประมุข.
ครั้งนั้น พระมหาสัตว์ เมื่อ รัมมราชกุมาร ของพระนางอุตตรามหาเทวีสมภพ
ก็ทรงเห็นนิมิต ๔ เสด็จออกอภิเนษกรมณ์ด้วย รถเทียมม้า
บุรุษโกฏิหนึ่งบวชตามเสด็จพระมหาสัตว์ซึ่งทรงผนวชอยู่นั้น
พระมหาสัตว์อันบุรุษเหล่านั้นแวดล้อมแล้ว
ทรงบำเพ็ญเพียรอยู่ ๘ เดือน
ในวันวิสาขบูรณมีเสวยข้าวมธุปายาส
ซึ่ง นางธัญญวดี ธิดาของ สุธัญญเศรษฐี กรุงธัญญวดีถวายแล้ว
ทรงยับยั้งพักกลางวัน ณ มหาสาลวัน
เวลาเย็นทรงรับหญ้า ๘ กำซึ่ง ติตถกะอาชีวก ถวาย
แล้วเสด็จเข้าไปยังโพธิพฤกษ์ชื่อต้นมหาโสณะ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 431
ไม้อ้อยช้างใหญ่ ทรงลาดสันถัตหญ้ากว้าง ๓๘ ศอก
ประทับนั่งขัดสมาธิอธิษฐานความเพียรมีองค์ ๔
ทรงกำจัดกองกำลังมาร
ทรงทำให้แจ้งวิชชา ๓ ในยามทั้ง ๓
ทรงเปล่งพระอุทานว่า อเนกชาติสํสารํ ฯลฯ ตณฺหานํ ขยมชฺฌคา
ทรงยับยั้งอยู่ใกล้โพธิพฤกษ์ ๗ สัปดาห์ ทรงรับอาราธนาท้าวมหาพรหม
ทรงตรวจดูบุคคลซึ่งเป็นภาชนะรองรับพระธรรมเทศนา
ทรงเห็นภิกษุจำนวนโกฏิซึ่งบวชกับพระองค์
ในทันใด ก็เสด็จไปทางอากาศลง ณ ธนัญชัยราชอุทยาน
ใกล้กรุงธัญญวดี อันภิกษุเหล่านั้นแวดล้อมแล้ว
ทรงประกาศพระธรรมจักรท่ามกลางภิกษุเหล่านั้น.
ครั้งนั้น อภิสมัยได้มีแก่สัตว์ร้อยโกฏิ
ด้วยเหตุนั้นจึงตรัสว่า
ต่อจากสมัยของพระอโนมทัสสีพุทธเจ้า
พระสมัยพุทธเจ้าพระนามว่า ปทุม
เป็นยอดของสัตว์สองเท้า ไม่มีผู้เสมอ ไม่มีผู้เทียบ.
ทั้งศีลของพระองค์ก็ไม่มีอะไรเสมอ ทั้งสมาธิก็ไม่มีที่สุด
ทั้งพระญาณอันประเสริฐ ก็นับไม่ได้ทั้งวิมุตติ ก็ไม่มีอะไรเปรียบ.
ในการประกาศพระธรรมจักรของพระองค์ ผู้มีพระเดชที่ชั่งไม่ได้
อภิสมัยการตรัสรู้ ที่เป็นเครื่องลอยความมืดอย่างใหญ่ มี ๓ ครั้ง.
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น
บทว่า อสมํ สีลํ ได้แก่ ไม่เสมือนด้วยศีลของผู้อื่น อธิบายว่า สูงสุด ประเสริฐสุด.
บทว่า สมาธิปิ อนนฺตโก ได้แก่ ทั้งสมาธิ ก็หาประมาณมิได้.
ความที่สมาธินั้น ไม่มีที่สุด พึงเห็นในยมกปาฏิหาริย์เปิดโลกเป็นต้น.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 432
บทว่า ญาณวรํ ได้แก่ พระสัพพัญญุตญาณ หรือพระอสาธารณญาณทั้งหลาย.
บทว่า วิมุตฺติปิ ได้แก่ แม้พระอรหัตผลวิมุตติของพระผู้มีพระภาคเจ้า.
บทว่า อนูปมา ได้แก่ เว้นที่จะเปรียบได้.
บทว่า อตุลเตชสฺส ได้แก่ ผู้มีพระเดชคือญาณอันชั่งมิได้.
ปาฐะว่าอตุลญาณเตชา ดังนี้ก็มี.
ปาฐะนั้น พึงเห็นว่าเชื่อมความกับบทหลังนี้ว่า ตโย อภิสมยา.
บทว่า มหาตมปวาหนา ได้แก่ ยังโมหะใหญ่ให้พินาศ อธิบายว่า กำจัดความมืดคือโมหะ.
สมัยต่อมา
พระผู้มีพระภาคเจ้าปทุมทรงให้สาลกุมารและอุปสาลกุมาร
พระกนิษฐภาดาของพระองค์บรรพชาในสมาคมพระประยูรญาติ
พร้อมทั้งบริวาร เมื่อทรงแสดงธรรมโปรดชนเหล่านั้น
ทรงยังสัตว์เก้าสิบโกฏิให้ดื่มอมตธรรม
ก็ครั้งที่ทรงแสดงธรรมโปรดพระธัมมเถระ อภิสมัยก็ได้มีแก่สัตว์แปดสิบโกฏิ.
ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
อภิสมัยครั้งที่ ๑ พระพุทธเจ้าทรงยังสัตว์ร้อยโกฏิให้ตรัสรู้
อภิสมัยครั้งที่ ๒ พระจอมปราชญ์ทรงยังสัตว์ให้ตรัสรู้เก้าสิบโกฏิ.
ครั้งที่พระปทุมพุทธเจ้า
ทรงโอวาทพระโอรสของพระองค์
อภิสมัยครั้งที่ ๓ ได้มีแก่สัตว์แปดสิบโกฏิ.
ครั้งนั้น พระเจ้าสุภาวิตัตตะ มีราชบริพารแสนโกฏิ
ทรงผนวชด้วยเอหิภิกขุบรรพชา ในสำนักของพระปทุมพุทธเจ้า
ผู้มีพระพักตร์ดังดอกปทุมบาน.
ในสันนิบาตนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงยกปาติโมกข์ขึ้นแสดงนั้นเป็นสันนิบาตครั้งที่ ๑.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 433
สมัยต่อมา พระมหาปทุมพุทธเจ้า
มุนีผู้เลิศผู้มีคติเสมอด้วยโคอุสภะ
ทรงอาศัยกรุงอสุภวดีเข้าจำพรรษา พวกมนุษย์ชาวนครประสงค์จะเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้า
จึงพากันเข้าไปเฝ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงธรรมโปรดชนเหล่านั้น.
มนุษย์เป็นอันมากในที่นั้น มีจิตเลื่อมใส ก็พากันบวช
แต่นั้นพระทศพลทรงปวารณาเป็นวิสุทธิปวารณากันภิกษุเหล่านั้น
และภิกษุสามแสนอื่น ๆ นั้นเป็นสันนิบาตครั้งที่ ๒.
ส่วนชนเหล่าใดยังไม่บวชในครั้งนั้น
ชนเหล่านั้น ฟังอานิสงส์กฐินแล้ว ก็พากันถวายกฐินจีวรที่ให้อานิสงส์ ๕
ในวันปาฏิบท ๕ เดือน.
แต่นั้น ภิกษุทั้งหลายอ้อนวอนพระสาลเถระ
พระธรรมเสนาบดีอัครสาวก ผู้มีปัญญาไพศาลนั้น เพื่อกรานกฐิน
ได้ถวายกฐินจีวรแก่พระสาลเถระนั้น.
เมื่อกฐินจีวรของพระเถระอันภิกษุทั้งหลายทำกันอยู่ ภิกษุทั้งหลายก็เป็นสหายช่วยกันเย็บ.
ฝ่ายพระปทุมสัมมาสัมพุทธเจ้า
ทรงร้อยด้ายเข้ารูเข็มประทาน เมื่อจีวรสำเร็จแล้ว
พระผู้มีพระภาคเจ้าก็เสด็จจาริกหลีกไปพร้อมด้วยภิกษุสามแสน.
สมัยต่อมา
พระพุทธสีหะ ประดุจบุรุษสีหะผู้ดำเนินไปด้วยความองอาจดังราชสีห์
เสด็จเข้าจำพรรษา ณ ป่าใหญ่ ที่มีดอกไม้หอมอย่างยิ่งมีผลไม้เป็นพวงมีกิ่งก้านอันอ่อนโน้ม
มีค่าคบไม้ เสมือนป่าโคสิงคสาลวัน บริบูรณ์ด้วยห้วงน้ำที่เย็นอร่อย
ประดับด้วยบัวก้านบัวสายไร้มลทิน
เป็นที่สัญจรของหมู่เนื้อเช่นกวาง จามรี ราชสีห์ เสือ ช้าง ม้า โค กระบือเป็นต้น
อันฝูงแมลงภู่และผึ้งสาว ที่มีใจติดกลิ่นดอกไม้อันหอมกรุ่น บินตอมว่อนเป็นฝูง ๆ
โดยรอบ อันเหล่านางนกดุเหว่า มีใจเบิกบานด้วยรสผลไม้ ส่งเสียงร้องไพเราะ
แผ่วเบาคล้ายขับกล่อมอยู่ น่ารื่นรมย์อย่างยิ่ง
สงัดปราศจากผู้คน เหมาะแก่การประกอบความเพียร.
พระตถาคตทศพล พระธรรมราชาพร้อมทั้งบริวารประทับอยู่ ณ ป่าใหญ่นั้น
รุ่งโรจน์ด้วยพระพุทธสิริ มนุษย์ทั้งหลายเห็นแล้ว
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 434
ฟังธรรมของพระองค์ก็เลื่อมใส พากันบวชด้วยเอหิภิกขุบรรพชา.
ครั้งนั้น พระองค์อันภิกษุสองแสนแวดล้อมแล้ว
ก็ทรงปวารณาพรรษา นั้นเป็นสันนิบาตครั้งที่ ๓.
ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
พระปทุมพุทธเจ้า ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่ ทรงมีสันนิบาต ๓ ครั้ง
ครั้งที่ ๑ เป็นการประชุมภิกษุแสนโกฏิ.
ในสมัยกรานกฐิน เมื่อกฐินจีวรเกิดขึ้น ภิกษุทั้งหลายเย็บจีวร เพื่อพระธรรมเสนาบดี.
ครั้งนั้น ภิกษุเหล่านั้น ไร้มลทิน มีอภิญญา ๖มีฤทธิ์มาก ไม่แพ้ใคร
จำนวนสามแสนโกฏิประชุมกัน.
ต่อมาอีก
พระนราสภพระองค์นั้น เสด็จเข้าจำพรรษา ณ ป่าใหญ่
ครั้งนั้นเป็นการประชุมภิกษุสองแสนโกฏิ.
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น
บทว่า กฐินตฺถารสมเย ได้แก่ ในสมัยกรานกฐินจีวร.
บทว่า ธมฺมเสนาปติตฺถาย ได้แก่ เพื่อพระสาลเถระพระธรรมเสนาบดี.
บทว่า อปราชิตา ได้แก่ น ปราชิตา อันใคร ๆ ให้แพ้ไม่ได้.พึงเห็นว่า ลบวิภัตติ.
บทว่า โส ได้แก่ พระปทุมพุทธเจ้าพระองค์นั้น.
บทว่า ปวเน แปลว่า ป่าใหญ่.
บทว่า วาสํ ได้แก่ อยู่จำพรรษา.
บทว่า อุปาคมิ แปลว่า เข้า.
บทว่า ทฺวินฺนํ สตสหสฺสินํ แปลว่า สองแสน.
ปาฐะว่า ตทา อาสิ สมาคโม ดังนี้ก็มี. ผิว่า มีได้ก็ดี.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 435
ครั้งนั้น เมื่อพระตถาคตประทับอยู่ ไพรสณฑ์นั้น
พระโพธิสัตว์ของเราเป็นราชสีห์
เห็นพระองค์ประทับนั่งเข้านิโรธสมาบัติ ๗ วัน ก็มีจิตเลื่อมใส
ทำประทักษิณ เกิดปีติโสมนัส บันลือสีหนาท ๓ ครั้ง ไม่ละปีติ
ที่มีพุทธคุณเป็นอารมณ์ ๗ วัน ด้วยปีติสุขนั่นแล ก็ไม่ออกหาเหยื่อ
ยอมสละชีวิต ยืนอยู่ใกล้ ๆ.
ครั้งนั้น ล่วงไป ๗ วัน
พระศาสดาก็ออกจากนิโรธสมาบัติ ผู้เป็นสีหะในนรชน
ทรงตรวจดูราชสีห์ ทรงพระดำริว่า ขอราชสีห์นั้น จงมีจิตเลื่อมใสแม้ในภิกษุสงฆ์
ขอสงฆ์จงมา ภิกษุหลายโกฏิก็พากันมาทันทีทันใด
ราชสีห์ก็ยังจิตให้เลื่อมใสในพระสงฆ์.
ครั้งนั้น พระศาสดาทรงตรวจดูจิตของราชสีห์นั้น
ก็ทรงพยากรณ์ว่า
ในอนาคตกาล ราชสีห์ตัวนี้ จักเป็นพระพุทธเจ้า พระนามว่า โคตมะ.
ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
สมัยนั้น เราเป็นราชสีห์เจ้ามฤค
ได้เห็นพระชินพุทธเจ้า ผู้เพิ่มพูนความสงัดอยู่ในป่าใหญ่.
เราใช้เศียรเกล้าบังคมพระบาท ทำประทักษิณ
พระองค์ บันลือสีหนาท ๓ ครั้ง เฝ้าพระชินพุทธเจ้า ๗ วัน.
๗ วัน พระตถาคตก็ทรงออกจากนิโรธ
ทรงดำริด้วยพระหฤทัย นำภิกษุมานับโกฏิ.
แม้ครั้งนั้น พระมหาวีระพระองค์นั้น
ก็ทรงพยากรณ์เราท่ามกลางภิกษุเหล่านั้นว่า
ผู้นี้จักเป็นพระพุทธเจ้า ในกัปที่หาประมาณมิได้ นับแต่กัปนี้ไป.
พระตถาคตตั้งความเพียร ฯ ล ฯ จักอยู่ต่อหน้าของท่านผู้นี้.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 436
เราฟังพระดำรัสของพระองค์แล้ว
ก็ยิ่งเลื่อมใสอธิษฐานข้อวัตรยิ่งยวดขึ้นไป
เพื่อบำเพ็ญบารมีให้บริบูรณ์.
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น
บทว่า ปวิเวกมนุพฺรูหนฺตํ ได้แก่ ทรงเข้านิโรธสมาบัติ.
บทว่า ปทกฺขิณํ ได้แก่ ทำประทักษิณ ๓ ครั้ง.
บทว่า อภินาทิตฺวา ได้แก่ บันลือสีหนาท ๓ ครั้ง.
บทว่า อุปฏฺฐหํ แปลว่า บำรุง.
อีกอย่างหนึ่ง ปาฐะก็อย่างนี้เหมือนกัน.
บทว่า วรสมาปตฺติยา ได้แก่ ออกจากนิโรธสมาบัติ.
บทว่า มนสา จินฺตยิตฺวาน ความว่า ทรงพระดำริทางพระหฤทัยว่า ภิกษุทั้งหมดจงมาที่นี้.
บทว่า สมานยิ แปลว่า นำมาแล้ว.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ปทุมะ พระองค์นั้น
ทรงมีพระนคร ชื่อว่า จัมปกะ
พระชนกพระนามว่า พระเจ้าอสมะ
พระชนนีพระนามว่า พระนางอสมา
คู่พระอัครสาวกชื่อว่า พระสาละ และ พระอุปสาละ.
พุทธอุปัฏฐาก ชื่อว่า พระวรุณะ
คู่พระอัครสาวิกา ชื่อว่า พระราธา และพระสุราธา.
โพธิพฤกษ์ ชื่อว่า ต้นมหาโสณะ อ้อยช้างใหญ่.
พระสรีระสูง ๕๘ ศอก
พระชนมายุแสนปี.
พระอัครมเหสี พระนามว่า พระนางอุตตรา
ผู้ยอดเยี่ยมด้วยคุณมีพระรูปเป็นต้น
พระโอรสของพระองค์น่ารื่นรมย์ยิ่ง พระนามว่า พระรัมมกุมาร.
ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
พระปทุมพุทธเจ้า ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่
มีพระนครชื่อว่า จัมปกะ
พระชนกพระนามว่า พระเจ้าอสมะ
พระชนนีพระนามว่า พระนางอสมา.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 437
พระปทุมพุทธเจ้า ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่
มีพระอัครสาวก ชื่อว่า พระสาละ และ พระอุปสาละ
พระพุทธอุปัฏฐาก ชื่อว่า วรุณะ.
พระอัครสาวิกา ชื่อว่า พระราชา และพระสุราธา
โพธิพฤกษ์ของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น เรียกว่าต้นมหาโสณะ.
พระมหามุนี ทรงสูง ๕๘ ศอก
พระรัศมีของพระองค์ไม่มีอะไรเสมอ แล่นออกไปทุกทิศ.
แสงจันทร์ แสงอาทิตย์ แสงรัตนะ แสงไฟแสงมณี แสงเหล่านั้น
พอถึงพระรัศมีของพระชินพุทธเจ้าอันสูงสุด ก็ถูกกำจัดไปสิ้น.
ในยุคนั้น มนุษย์มีอายุแสนปี
พระปทุมพุทธเจ้า พระองค์นั้น ทรงมีพระชนม์ยืนถึงเพียงนั้น
จึงทรงยังหมู่ชนเป็นอันมากให้ข้ามโอฆสงสาร.
พระองค์ทรงพระสาวก ยังสัตว์ทั้งหลายที่ใจอัน
กุศลอบรมให้แก่กล้าแล้วให้ตรัสรู้ ไม่เหลือเลย
ส่วนที่เหลือ ก็ทรงพร่ำสอนแล้วเสด็จดับขันธ์ ปรินิพพาน.
พระองค์ทรงละสังขารทั้งปวง เหมือนงูละคราบเก่า
เหมือนต้นไม้สลัดใบเก่า แล้วดับขันธปรินิพพานเหมือนดวงไฟ.
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น
บทว่า รตนคฺคิมณิปฺปภา ได้แก่ แสงรัตนะแสงไฟ และ แสงแก้วมณี.
บทว่า หตา ได้แก่ ถูกครองงำ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 438
บทว่า ชินปภุตฺตมํ ความว่า ถึงพระรัศมีแห่งพระสรีระของพระชินพุทธเจ้าที่รุ่งเรืองยิ่งก็ถูกกำจัด.
บทว่า ปริปกฺกมานเส ได้แก่ เวไนยสัตว์ ผู้มีอินทรีย์แก่กล้า.
บทว่า วฑฺฒปตฺตํ แปลว่า ใบเก่า.
บทว่า ปาทโปว ก็คือ ปาทโป วิยเหมือนต้นไม้.
บทว่า สพฺพสงฺขาเร ได้แก่ สังขารภายในภายนอกทุกอย่าง.
ปาฐะว่า หิตฺวา สพฺพสงฺขารํ ดังนี้ก็มี. ความก็อย่างนั้นเหมือนกัน.
บทว่า ยถา สิขี ความว่า เสด็จถึงอย่างดีซึ่งความดับเหมือนไฟไม่มีเชื้อ.
คำที่เหลือในที่นี้ ก็ง่ายทั้งนั้น เพราะมีนัยที่กล่าวมาแล้วในหนหลัง ในคาถาทั้งหลายแล.
จบพรรณนาวงศ์พระปทุมพุทธเจ้า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 439