พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 589
๑๙. วงศ์พระวิปัสสีพุทธเจ้า ๑๙
ว่าด้วยพระประวัติของพระวิปัสสีพุทธเจ้า
[๒๐] ต่อจากสมัยของพระปุสสพุทธเจ้า
พระสัมพุทธเจ้าพระนามว่า วิปัสสี
ผู้สูงสุดแห่งสัตว์สองเท้า พระผู้มีจักษุ ก็ทรงอุบัติขึ้นในโลก.
ทรงทำลาย กะเปาะไข่คือ อวิชชา๑
บรรลุพระสัมโพธิญาณ เสด็จไปกรุงพันธุมดี เพื่อประกาศพระธรรมจักร.
พระผู้นำ ทรงยังพระโอรส และ บุตรปุโรหิตทั้งสองให้ตรัสรู้
อภิสมัยครั้งที่ ๑ กล่าวไม่ได้ถึงจำนวนผู้ตรัสรู้ธรรม.
ต่อมาอีก
พระผู้มีพระยศหาประมาณมิได้
ทรงประกาศสัจจะ ณ เขมมิคทายวันนั้น อภิสมัยครั้งที่ ๒ ได้มีแก่ สัตว์แปดหมื่นสี่พัน.
บุรุษแปดหมื่นสี่พัน บวชตามเสด็จพระสัมพุทธเจ้า
พระผู้มีพระจักษุทรงแสดงธรรมโปรดบรรพชิตเหล่านั้นที่มาถึงพระอาราม.
บรรพชิตแม้เหล่านั้น ฟังธรรมของพระองค์ ซึ่งตรัสประทานโดยอาการทั้งปวง
ก็บรรลุธรรมอันประเสริฐ อภิสมัยครั้งที่ ๓ ก็ได้มีแก่บรรพชิตเหล่านั้น.
๑. อรรถกถาว่า อวิชชาทั้งปวง
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 590
พระวิปัสสีพุทธเจ้า ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่
ทรงมีสันนิบาตประชุมพระสาวกขีณาสพ ผู้ไร้มลทิน มีจิตสงบ คงที่ ๓ ครั้ง.
ประชุมพระสาวกแสนแปดหมื่นหกพัน เป็นสันนิบาต ครั้งที่ ๑
ประชุมพระสาวกแสนหนึ่ง เป็นสันนิบาตครั้งที่ ๒.
ประชุมพระสาวกแปดหมื่น เป็นสันนิบาตครั้งที่ ๓
พระสัมพุทธเจ้าทรงรุ่งโรจน์อยู่ท่ามกลางหมู่ภิกษุ ณเขมมิคทายวันนั้น.
สมัยนั้น เราเป็นพญานาค ชื่อว่า อตุละ มีฤทธิ์มากมีบุญ
ทรงรัศมีรุ่งโรจน์ แวดล้อมด้วยนาคหลายโกฏิบรรเลงดนตรีทิพย์
เข้าไปเฝ้าพระผู้เจริญที่สุดในโลก.
ครั้นเข้าเฝ้าแล้ว ก็นิมนต์พระวิปัสสีสัมพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าแม้พระองค์นั้น ประทับนั่งท่ามกลางสงฆ์
ทรงพยากรณ์เราว่า เก้าสิบเอ็ดกัปนัปแต่กัปนี้ ท่านผู้นี้จักเป็นพระพุทธเจ้า.
พระตถาคตออกอภิเนษกรมณ์ จากกรุงกบิลพัสดุ์
อันน่ารื่นรมย์ ทรงตั้งความเพียร ทำทุกกรกิริยา.
พระตถาคต ประทับนั่งที่โคนต้นอชปาลนิโครธ
ทรงรับข้าวมธุปายาสแล้ว เสด็จเข้าไปยังแม่น้ำเนรัญชรา.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 591
พระชินเจ้าพระองค์นั้น เสวยข้าวมธุปายาสที่ริม
ฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา เสด็จดำเนินตามทางอันดีที่เขาจัดแต่งไว้ เข้าไปยังโคนโพธิพฤกษ์.
แต่นั้น พระผู้มีพระยศใหญ่
ทรงทำประทักษิณโพธิมัณฑสถานอันยอดเยี่ยม
ตรัสรู้ ณ โคนโพธิพฤกษ์ชื่ออัสสัตถะ.
ท่านผู้นี้จักมี
พระชนนีพระนามว่า พระนางมายา
พระชนกพระนามว่า พระเจ้าสุโธทนะ
ท่านผู้นี้จักมีพระนามว่า โคตมะ.
จักมีพระอัครสาวก ชื่อว่าพระโกลิตะ และ พระอุปติสสะ
ผู้ไม่มีอาสวะ ปราศจากราคะ มีจิตสงบ ตั้งมั่น
พระพุทธอุปัฏฐาก ชื่อว่าพระอานันทะ จักบำรุงพระชินเจ้าผู้นี้.
จักมีอัครสาวิกา ชื่อว่าพระเขมา และ พระอุบลวรรณา
ผู้ไม่มีอาสวะ ปราศจากราคะ มีจิตสงบตั้งมั่น
โพธิพฤกษ์ของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นเรียกว่าต้นอัสสัตถะ.
อัครอุปัฏฐาก ชื่อว่าจิตตะ และ หัตถะอาฬวกะ
อัครอุปัฏฐายิกา ชื่อว่า นันทมาตา และ อุตตรา
พระโคดมผู้มีพระยศพระองค์นั้น มีพระชนมายุ ๑๐๐ ปี.
มนุษย์และเทวดาทั้งหลาย ฟังพระดำรัสนี้ของพระวิปัสสีพุทธเจ้า
ผู้ไม่มีผู้เสมอ ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่ก็ปลาบปลื้มใจว่า ท่านผู้นี้เป็นหน่อพุทธางกูร.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 592
หมื่นโลกธาตุ ทั้งเทวโลก ก็โห่ร้อง ปรบมือหัวร่อร่าเริง
ประคองอัญชลีนมัสการ กล่าวว่า
ผิว่า พวกเราพลาดพระศาสนาของพระโลกนาถพระองค์นี้ไซร้
ในอนาคตกาล พวกเราก็จักอยู่ต่อหน้าของท่านผู้นี้.
มนุษย์ทั้งหลาย เมื่อข้ามแม่น้ำ พลาดท่าน้ำข้างหน้า
ก็ถือเอาท่าน้ำข้างหลัง ข้ามแม่น้ำใหญ่ ฉันใด.
พวกเราทั้งหมด ผิว่า ผ่านพ้นพระชินพุทธเจ้าพระองค์นี้ไซร้
ในอนาคตกาล พวกเราก็จักอยู่ต่อหน้าของท่านผู้นี้ ฉันนั้น.
เราฟังพระดำรัสของพระองค์แล้ว ก็ยิ่งมีจิตเลื่อมใส
จึงอธิษฐานข้อวัตรยิ่งยวดขึ้นไป เพื่อบำเพ็ญบารมี ๑๐ ให้บริบูรณ์.
พระวิปัสสีพุทธเจ้า ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่
ทรงมีพระนคร ชื่อว่าพันธุมดี
พระชนกพระนามว่า พระเจ้าพันธุมะ
พระชนนีพระนามว่า พระนางพันธุมดี.
พระองค์ทรงครองฆราวาสวิสัยอยู่แปดพันปี
มีปราสาทชั้นเยี่ยม ๓ หลังชื่อว่า นันทะ สุนันทะ และสิริมา
มีพระสนมกำนัลที่แต่งกายงามสี่หมื่นสามพันนาง
มีพระอัครมเหสีพระนามว่า พระนางสุทัสสนา [สุตนู]
มีพระโอรสพระนามว่า พระสมวัฏฏขันธะ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 593
พระชินพุทธเจ้า ทรงเห็นนิมิต ๔ ทรงออกอภิเนษกรมณ์ด้วยยานคือ รถ
ทรงตั้งความเพียร ๘ เดือนเต็ม.
พระมหาวีระ วิปัสสี ผู้นำโลก
สูงสุดในนรชนอันท้าวมหาพรหมทูลอาราธนาแล้ว
ทรงประกาศพระธรรมจักร ณ มิคทายวัน .
พระวิปัสสีพุทธเจ้า ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่
ทรงมีพระอัครสาวกชื่อว่า พระขัณฑะ และ พระติสสะ
พระพุทธอุปัฏฐาก ชื่อว่าพระอโสกะ.
มีพระอัครสาวิกาชื่อว่าพระจันทา และ พระจันทมิตตา
โพธิพฤกษ์ของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นเรียกว่า ต้นปากลี.
มีอัครอุปัฏฐากชื่อว่า ปุนัพพสุมิตตะ และนาคะ
มีอัครอุปัฏฐายิกา ชื่อ สิริมา และอุตตรา.
พระวิปัสสีพุทธเจ้า ผู้นำโลก สูง ๘๐ ศอก
พระรัศมีของพระองค์แผ่ซ่านไปโดยรอบ ๗ โยชน์.
ในยุคนั้น มนุษย์มีอายุแปดหมื่นปี
พระพุทธเจ้ามีพระชนม์ยืนตลอดกาลเท่านั้น
จึงทรงยังหมู่ชนเป็นอันมากให้ข้ามโอฆะ.
ทรงเปลื้องเทวดาและมนุษย์จากเครื่องผูก
และทรงบอกปุถุชนนอกนั้นถึงทางและมิใช่ทาง.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 594
พระองค์ทั้งพระสาวก ครั้นแสดงแสงสว่างแล้ว
จึงทรงแสดงอมตบท รุ่งเรืองแล้วก็ดับขันธปรินิพพาน
เหมือนกองไฟลุกโพลงแล้วดับฉะนั้น.
พระวรฤทธิ์อันเลิศ พระบุญญาธิการอันประเสริฐ
พระวรลักษณ์อันบานเต็มที่แล้ว ทั้งสิ้นนั้น ก็อันตรธาน
ไปสิ้น สังขารทั้งปวงก็ว่างเปล่า แน่แท้.
พระวิปัสสีพุทธเจ้า ผู้เลิศในนรชน
ทรงเป็นวีรบุรุษเสด็จดับขันธปรินิพพาน ณ พระวิหารสุมิตตาราม
พระวรสถูปของพระองค์ ณ พระวิหารนั้น สูง ๗ โยชน์.
จบวงศ์พระวิปัสสีพุทธเจ้าที่ ๑๙
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 595
พรรณนาวงศ์พระวิปัสสีพุทธเจ้าที่ ๑๙
ภายหลังต่อมาจากสมัยของ
พระปุสสพุทธเจ้า กัปนั้นพร้อมทั้งอันตรกัปล่วงไป
ในเก้าสิบเอ็ดกัปนัปแต่กัปนี้ไป
พระศาสดาพระนามว่า วิปัสสี ผู้เห็นแจ้งในธรรมทั้งปวง
ทรงทราบกัปทั้งปวง ทรงมีความดำริยินดีแต่ประโยชน์ของสัตว์อื่น อุบัติขึ้นในโลก.
พระองค์ทรงบำเพ็ญบารมีทั้งหลายและบังเกิดในภพสวรรค์ชั้นดุสิต
อันเป็นที่รุ่งโรจน์ด้วยแสงซ่านแห่งรัตนะมณีเป็นอันมาก
จุติจากนั้นแล้ว
ก็ทรงถือปฏิสนธิในพระครรภ์ ของพระนางพันธุมดี
อัครมเหสีของ พระเจ้าพันธุมะ ผู้มีพระญาติมาก
กรุงพันธุมดี ถ้วนกำหนดทศมาส
พระองค์ก็ประสูติจากพระครรภ์พระชนนี ณ เขมมิคทายวัน
เหมือนดวงจันทร์เพ็ญออกจากกลีบเมฆสีเขียวคราม
ในวันรับพระนามของพระองค์โหรผู้ทำนายลักษณะ
และพระประยูรญาติทั้งหลาย แลเห็นพระองค์หมดจด
เพราะเว้นจากความมืดที่เกิดจากกระพริบตา ในระหว่างๆ ทั้งกลางวันทั้งกลางคืน
จึงเฉลิมพระนามว่า วิปัสสี เพราะเห็นได้ด้วยตาที่เปิดแล้ว
อาจารย์บางพวกกล่าวว่า หรือพระนามว่า วิปัสสี
เพราะพึงวิจัยค้นหาย่อมเห็นพระองค์ทรงครองฆราวาสวิสัยอยู่ แปดพันปี
ทรงมีปราสาท ๓ หลังชื่อว่า นันทะสุนันทะและสิริมา
มีพระสนมกำนัลแสนสองหมื่นนาง มีพระนางสุทัสสนาเทวีเป็นประมุข.
พระนางสุทัสสนา เรียกกันว่า พระนางสุตนู ก็มี.
ล่วงไปแปดพันปี
เมื่อพระโอรสของพระนางสุตนูเทวี พระนามว่า ทรงสมภพ
พระองค์ก็ทรงเห็นนิมิต ๔
จึงเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ ด้วยรถเทียมม้า
ทรงผนวช บุรุษแปดหมื่นสี่พันคน ออกบวชตามเสด็จ
พระมหาบุรุษนั้นอันภิกษุเหล่านั้นแวดล้อมแล้ว ทรงบำเพ็ญเพียร ๘ เดือน
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 596
ในวันวิสาขบูรณมีเสวยข้าวมธุปายาส ที่ ธิดาสุทัสสนเศรษฐี
ถวายทรงพักกลางวัน ณ สาลวัน ที่ประดับด้วยดอกไม้
ทรงรับหญ้า ๘ กำ ที่คนเฝ้าไร่ข้าวเหนียวชื่อ สุชาตะ ถวาย
ทรงเห็นโพธิพฤกษ์ชื่อว่า ปาฏลี คือต้นแคฝอย ที่ออกดอก
จึงเสด็จเข้าไปยังโพธิพฤกษ์นั้น ทางทิศทักษิณ
วันนั้นลำต้นอันเกลากลมของต้นปาฏลีนั้น
ชะลูดขึ้นไป ๕๐ ศอก กิ่ง ๕๐ ศอก สูง ๑๐๐ ศอก
วันนั้นนั่นเอง ต้นปาฏลีนั้น ออกดอกดารดาษไปหมดทั้งต้น
เริ่มแต่โคนต้นดอกทั้งหลายมีกลิ่นหอมอย่างยิ่ง เหมือนผูกไว้เป็นช่อ
มิใช่ปาฏลีต้นนี้ต้นเดียวเท่านั้น ที่ออกดอกในเวลานั้น
ต้นปาฏลีทั้งหมดในหมื่นจักรวาล ก็ออกดอกด้วย
มิใช่ต้นปาฏลีอย่างเดียวเท่านั้น
แม้ไม้ต้นไม้กอและไม้เถาทั้งหลายในหมื่นจักรวาลก็ออกดอกบาน.
แม้มหาสมุทร ก็ดารดาษไปด้วยปทุมบัวสาย อุบล และโกมุท ๕ สี มีน้ำเย็นอร่อย
ระหว่างหมื่นจักรวาลทั้งหมด ก็เกลื่อนกล่นไปด้วยธงและมาลัย
พื้นแผ่นธรณีอักตกแต่งด้วยดอกไม้กลิ่นหอมนานาชนิด
ก็เกลื่อนกล่นด้วยพวงมาลัย มืดมัวไปด้วยจุรณแห่งธูป
พระองค์เสด็จเข้าไปยังต้นปาฏลีนั้น
ทรงลาดสันถัตหญ้ากว้าง ๕๓ ศอก
ทรงอธิษฐานความเพียรประกอบด้วยองค์ ๔
ประทับนั่ง ทำปฏิญาณว่า
ยังไม่เป็นพระพุทธเจ้าเพียงใด ก็จะไม่ยอมลุกจากที่นี้เพียงนั้น
ครั้นประทับนั่งอย่างนี้แล้ว
ทรงกำจัดกองกำลังมาร พร้อมทั้งตัวมาร
ทรงทำมรรคญาณ ๔ โดยลำดับมรรค ผลญาณ ๔
ในลำดับต่อจากมรรค ปฏิสัมภิทา ๔ จตุโยนิปริจเฉทกญาณ
ญาณเครื่องกำหนดรู้คติ ๕ เวสารัชชญาณ ๔ อสาธารณญาณ ๖
และพระพุทธคุณทั้งสิ้นไว้ในพระหัตถ์
ทรงมีความดำริบริบูรณ์ ประทับนั่งเหนือโพธิบัลลังก์นั่นเอง ทรงเปล่งพระอุทานอย่างนี้ว่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 597
อเนกชาติสํสารํ ฯ ล ฯ ตณฺหานํ ขยมชฺฌคา.
อโยฆนหตสฺเสว ชลโต ชาตเวทโส
อนุปุพฺพูปสนฺตสฺส ยถา น ญายเต คติ.
ใครๆ ย่อมไม่รู้คติ ความไปของดวงไฟ ที่ลุก
โพลง ถูกฟาดด้วยค้อนเหล็ก แล้วสงบลงโดยลำดับฉันใด.
เอวํ สมฺมา วิมุตฺตานํ กามพนฺโธฆตารินํ
ปญฺญาเปตุํ คตี นตฺถิ ปตฺตานํ อจลํ สุขํ.
ไม่มีใครจะล่วงรู้คติความไป ของท่านผู้หลุดพ้นโดยชอบ
ผู้ข้ามพันธะและโอฆะ คือกาม ผู้ถึงสุขอันไม่หวั่นไหวได้ก็ฉันนั้น.
ทรงยับยั้งอยู่ ๗ สัปดาห์ ใกล้โพธิพฤกษ์นั่นเอง
ทรงรับอาราธนาของท้าวมหาพรหม
ทรงตรวจดูอุปนิสสัยสมบัติ ของ พระขัณฑกุมาร กนิษฐภาดา
ต่างพระมารดาของพระองค์ และ ติสสกุมาร บุตรปุโรหิต
เสด็จไปทางอากาศ ลงที่ เขมมิคทายวัน
ทรงใช้พนักงานเฝ้าอุทยานไปเรียกท่านทั้งสองนั้นมาแล้ว
ทรงประกาศพระธรรมจักร ท่ามกลางบริวารเหล่านั้น
ครั้งนั้น ธรรมาภิสมัยได้แก่เทวดาทั้งหลาย ประมาณมิได้.
ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
ต่อจากสมัยของพระปุสสพุทธเจ้า
พระสัมพุทธเจ้าพระนามว่า วิปัสสี
ผู้สูงสุดแห่งสัตว์สองเท้า ผู้มีจักษุ ก็อุบัติขึ้นในโลก.
ทรงทำลาย อวิชชาทั้งหมด๑ บรรลุพระโพธิญาณอันสูงสุด
เสด็จไปยังกรุงพันธุมดี เพื่อประกาศพระธรรมจักร.
๑. บาลีว่า อวิชฺชณฺฑํ กะเปาะไข่คืออวิชชา
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 598
พระผู้นำ
ครั้นทรงประกาศพระธรรมจักรแล้วยังกุมารทั้งสองให้ตรัสรู้แล้ว
อภิสมัยครั้งที่ ๑ ไม่จำต้องกล่าวจำนวนผู้บรรลุ.
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น
บทว่า ปทาเลตฺวา แปลว่า ทำลาย อธิบายว่า ทำลายความมืดคืออวิชชา.
ปาฐะว่า วตฺเตตฺวา จกฺกมาราเม ดังนี้ก็มีปาฐะนั้น
บทว่า อาราเม ความว่า ณ เขมมิคทายวัน.
บทว่า อุโภ โพเธสิได้แก่ ทรงยังกุมารทั้งสองคือ
พระขัณฑราชโอรส กนิษฐภาดาของพระองค์และติสสกุมาร บุตรปุโรหิต ให้ตรัสรู้.
บทว่า คณนา น วตฺตพฺโพ ความว่า
ไม่มีการกำหนดจำนวนเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย โดยอภิสมัย.
สมัยต่อมา
ทรงยังภิกษุแปดหมื่นสี่พัน
ซึ่งบวชตามพระขัณฑราชโอรส และติสสกุมาร
บุตรปุโรหิตให้ดื่มอมฤตธรรม นั้นเป็นอภิสมัยครั้งที่ ๒
ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
ต่อมาอีก
พระผู้มีพระยศประมาณมิได้
ทรงประกาศสัจจะ ณ เขมมิคทายวันนั้น
อภิสมัยครั้งที่ ๒ ได้มีแก่สัตว์ แปดหมื่นสี่พัน.
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น
บทว่า ตตฺถ ได้แก่ ณ เขมมิคทายวัน
ในคำว่า จตุราสีติสหสฺสานิ สมฺพุทฺธมนุปพฺพชุํ นี้
บุรุษที่นับได้แปดหมื่นสี่พัน เหล่านี้
ก็คือพวกบุรุษที่รับใช้ พระวิปัสสีกุมารนั่นเอง
บุรุษเหล่านั้นไปยังที่รับใช้ พระวิปัสสีกุมารแต่เช้า
ไม่เห็นพระกุมาร ก็กลับไปเพื่อกินอาหารเช้า
กินอาหารเช้าแล้ว ถามกันว่า พระกุมารอยู่ไหน
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 599
แต่นั้น ได้ฟังข่าวว่า เสด็จไปยังที่ราชอุทยาน
จึงพากันออกไปด้วยหวังว่าจักพบพระองค์ ณ ที่ราชอุทยานนั้น
เห็นสารถีของพระองค์กลับมา
ฟังว่าพระราชกุมารทรงผนวชแล้ว ก็เปลื้องอาภรณ์ทั้งหมดในที่ฟังข่าวนั่นเอง
ให้นำผ้ากาสายะมาจากภายในตลาด ปลงผมและหนวดพากันบวช
บุรุษเหล่านั้น ครั้นบวชแล้ว ก็พากันไปแวดล้อมพระมหาบุรุษ.
แต่นั้น พระวิปัสสีโพธิสัตว์
ทรงพระดำริว่า
เราเมื่อจะบำเพ็ญความเพียร ยังคลุกคลีอยู่ ข้อนี้ไม่สมควร
คนเหล่านี้ แต่ก่อน เป็นคฤหัสถ์ ก็พากันมาแวดล้อมเราอย่างนั้น
ประโยชน์อะไรด้วยคนหมู่นี้
ทรงระอาในการคลุกคลีด้วยหมู่
ทรงพระดำริว่า จะไปเสียวันนี้แหละ
ทรงพระดำริอีกว่า
วันนี้ยังไม่ใช่เวลา ถ้าเราจักไปในวันนี้ คนเหล่านั้นจักรู้กันหมด
พรุ่งนี้จึงจักไป ในวันนั้นนั่นเอง มนุษย์ชาวบ้าน ในบ้านตำบลหนึ่ง เช่นเดียวกับอุรุเวลคาม
ได้จัดแจงข้าวมธุปายาสอย่างเดียว เพื่อบรรพชิตแปดหมื่นสี่พันเหล่านั้น และ พระมหาบุรุษ.
ในวันรุ่งขึ้น
เป็นวันวิสาขบูรณมี พระวิปัสสีมหาบุรุษ
เสวยภัตตาหารกับชนที่บวชเหล่านั้นในวันนั้นแล้ว
ก็เสด็จไปยังสถานที่ประทับอยู่ ณ ที่นั้น
บรรพชิตเหล่านั้น แสดงวัตรปฏิบัติแด่พระมหาบุรุษแล้ว
ก็พากันเข้าไปยังสถานที่อยู่กลางคืนและที่พักกลางวันของตนๆ.
แม้พระโพธิสัตว์ ก็เสด็จเข้าไปสู่บรรณศาลา
ประทับนั่ง ทรงพระดำริว่า นี้เป็นเวลาเหมาะที่จะออกไปได้
จึงเสด็จออกอภิเนษกรมณ์
ทรงปิดประตูบรรณศาลา
เสด็จบ่ายพระพักตร์ไปยังโพธิมัณฑสถาน
นัยว่า บรรพชิตเหล่านั้น เวลาเย็นก็พากันไปยังที่ปรนนิบัติพระโพธิสัตว์
นั่งล้อมบรรณศาลา กล่าวว่า วิกาลมืดค่ำแล้ว ตรวจกันดูเถิด
จึงเปิดประตูบรรณศาลาก็ไม่พบพระองค์
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 600
คิดกันว่า พระมหาบุรุษเสด็จไปไหนหนอ ยังไม่พากันติดตาม
คิดแต่ว่า พระมหาบุรุษ เห็นทีจะเบื่อการอยู่เป็นหมู่ ประสงค์จะอยู่แต่ลำพัง
เราจะพบพระองค์เป็นพระพุทธเจ้าเท่านั้น
จึงพากันออกจาริกมุ่งหน้าไปภายในชมพูทวีป
ลำดับนั้น
บรรพชิตเหล่านั้นฟังข่าวว่า เขาว่า พระวิปัสสีถึงความเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว
ประกาศพระธรรมจักร จึงประชุมกันที่เขมมิคทายวัน กรุงพันธุมดีราชธานี โดยลำดับ.
แต่นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ทรงแสดงธรรมโปรดบรรพชิตเหล่านั้น
ครั้งนั้นธรรมภิสมัย ได้มีแก่ ภิกษุแปดหมื่นสี่พัน นั้นเป็นอภิสมัยครั้งที่ ๓.
ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
บุรุษแปดหมื่นสี่พัน บวชตามเสด็จพระวิปัสสีสัมพุทธเจ้า
พระผู้มีจักษุทรงแสดงธรรมโปรดบรรพชิตเหล่านั้นซึ่งมาถึงอาราม.
บรรพชิตแม้เหล่านั้น ฟังธรรมของพระองค์ ซึ่งตรัสประทาน โดยอาการทั้งปวง
ก็บรรลุธรรมอันประเสริฐ อภิสมัยครั้งที่ ๓ ก็ได้มีแก่บรรพชิตเหล่านั้น.
แก้อรรถ
ในคำว่า จตุราสีติสหสฺสานิ สมฺพุทฺธํ อนุปพฺพชุํ นี้
ในคาถานั้น พึงทราบว่า ท่านทำเป็นทุติยาวิภัตติว่า สมฺพุทฺธํ
โดยประกอบนิคคหิตไว้ ความว่า บวชภายหลังพระสัมพุทธเจ้า
พึงถือลักษณะตามศัพทศาสตร์ปาฐะว่า ตตฺถ อารามปตฺตานํ ดังนี้ก็มี.
บทว่า ภาสโต แปลว่า ตรัสอยู่.
บทว่า อุปนิสาทิโน ความว่า ผู้เสด็จไปประทานธรรมทานถามอุปนิสสัย !
เตปิ ได้แก่ บรรพชิตนับได้แปดหมื่นสี่พันเหล่านั้น เป็นผู้รับใช้ พระวิปัสสีสัมพุทธเจ้า.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 601
บทว่า คนฺตฺวา ได้แก่ รู้ธรรมของพระองค์.
อภิสมัยครั้งที่ ๓ได้มีแก่ บรรพชิตเหล่านั้น ด้วยประการอย่างนี้.
พระผู้มีพระภาคเจ้าวิปัสสี ประทับนั่งท่ามกลางภิกษุแสนแปดหมื่นหกพัน
ซึ่งบวชตามพระวิปัสสีสัมพุทธเจ้า และพระอัครสาวก ณ เขมมิคทายวัน
ทรงยกปาติโมกข์ขึ้นแสดง ดังนี้ว่า
ขนฺติ ปรมํ ตโป ตีติกฺขา
นิพฺพานํ ปรมํ วทนฺติ พุทฺธา
น หิ ปพฺพชิโต ปรูปฆาตี
น สมโณ โหติ ปรํ วิเหฐยนฺโต.
พระพุทธเจ้าทั้งหลายตรัส ตีติกขา ขันติว่า เป็นตบะอย่างยิ่ง
ตรัสนิพพานว่าเป็นบรมธรรม
ผู้ยังทำร้ายผู้อื่น หาเป็นบรรพชิตไม่
ผู้ยังเบียดเบียนผู้อื่นอยู่ หาเป็นสมณะไม่.
สพฺพปาปสฺส อกรณํ กุสลสฺสูปสมฺปทา
สจิตฺตปริโยทปนํ เอตํ พุทฺธานสาสนํ.
การไม่ทำบาปทั้งปวง การยังกุศลให้ถึงพร้อม
การชำระจิตของตนให้ผ่องแผ้ว
นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย.
อนูปวาโท อนูปฆาโต ปาฏิโมกฺเข จ สํวโร
มตฺตญฺญุตา จ ภตฺตสฺมึ ปนฺตญฺจ สยนาสนํ
อธิจิตฺเต จ อาโยโค เอตํ พุทฺธาน สาสนํ.
การไม่ว่าร้าย การไม่ทำร้าย ความสำรวมใน
พระปาติโมกข์ [คำสอนที่เป็นหลักเป็นประธาน] ความรู้
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 602
จักประมาณในภัตตาหาร ที่นอนที่นั่งอันสงัด และ
การประกอบความเพียรในอธิจิต
นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย.
พึงทราบว่า คาถาปาติโมกขุทเทศเหล่านี้
เป็นของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ นั้นเป็น สันนิบาตครั้งที่ ๑
ต่อมาอีก
สันนิบาตครั้งที่ ๒ ได้มีแก่ ภิกษุแสนหนึ่ง ซึ่งเห็นยมกปาฏิหาริย์แล้วบวช.
ครั้งพระกนิษฐภาดา ๓ พระองค์ต่างพระมารดา ของพระวิปัสสีพุทธเจ้า
ปราบปัจจันตประเทศให้สงบแล้วได้รับพระราชทานพร
ด้วยการทำการบำรุงพระผู้มีพระภาคเจ้า
นำเสด็จมาสู่พระนครของพระองค์บำรุง
ทรงสดับธรรมของพระพุทธองค์แล้วทรงผนวช
พระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับนั่งท่ามกลางภิกษุแปดล้านเหล่านั้น
ทรงยกปาติโมกข์ขึ้นแสดง ณ เขมมิคทายวัน นั้นเป็น สันนิบาตครั้งที่ ๓
ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
พระวิปัสสีพุทธเจ้า ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่
มีสันนิบาต
ประชุมพระสาวกผู้ขีณาสพ ผู้ไร้มลทิน มีจิตสงบคงที่ ๓ ครั้ง.
การประชุม พระสาวกหกล้านแปดเเสน เป็นสันนิบาตครั้งที่ ๑
การประชุมพระสาวกหนึ่งแสน เป็นสันนิบาตครั้งที่ ๒.
การประชุม พระภิกษุสาวกแปดหมื่น เป็นสันนิบาต ครั้งที่ ๓
พระสัมพุทธเจ้า ทรงรุ่งโรจน์ ท่ามกลางหมู่ภิกษุ ณ เขมมิคทายวันนั้น.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 603
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น
บทว่า อฏฺฐสฏฺฐิสตสหสฺสานํ ความว่าภิกษุหกล้านแปดแสน.
บทว่า ตตฺถ ได้แก่ ณ เขมมิคทายวันนั้น.
บทว่า ภิกฺขุคณมชฺเฌ แปลว่า ท่ามกลางหมู่ภิกษุ.
ปาฐะว่า ตสฺส ภิกฺขุคณมชฺเฌ ดังนี้ก็มี.
ความว่า ท่ามกลางหมู่ภิกษุนั้น.
ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์ของเรา เป็นพระยานาคชื่อ อตุละ
มีฤทธานุภาพมาก มีนาคหลายแสนโกฏิเป็นบริวาร
สร้างมณฑปอันสำเร็จด้วยรัตนะ๗ เป็นส่วนอันมั่นคงผ่องแผ้วที่น่าดู
เช่นเดียวกับดวงจันทร์ เพื่อทำสักการะแด่พระทศพล
ผู้มีกำลังและศีลที่ไม่มีผู้เสมอ มีพระหฤทัย
เยือกเย็นด้วยพระกรุณา พร้อมทั้งบริวาร
นิมนต์ให้ประทับนั่ง ณ มณฑปนั้น
ถวายมหาทานอันเหมาะแก่สมบัติทิพย์ ๗ วัน
ได้ถวายตั่งทอง ขจิตด้วยรัตนะ ๗
อันรุ่งเรืองด้วยประกายโชติช่วงแห่งมณีต่างๆ สมควรยิ่งใหญ่ แด่พระผู้มีพระภาคเจ้า.
ครั้งนั้น พระวิปัสสีพุทธเจ้า
ทรงพยากรณ์พระโพธิสัตว์นั้น เวลาจบอนุโมทนา
ปีฐทานว่า เก้าสิบเอ็ดกัปนับแต่กัปนี้ไป ท่านผู้นี้จักเป็นพระพุทธเจ้า.
ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
สมัยนั้น เราเป็นพญานาค ชื่ออตุละ
มีฤทธิ์มากมีบุญ ทรงรัศมีโชติช่วง.
ครั้งนั้น เราแวดล้อมด้วยนาคหลายโกฏิ
บรรเลงทิพดนตรี เข้าไปเฝ้าพระผู้เจริญที่สุดในโลก.
ครั้นเข้าเฝ้าแล้ว ก็นิมนต์พระวิปัสสีสัมพุทธเจ้า ผู้นำโลก
ได้ถวายตั่งทอง อันขจิตด้วยรัตนะคือแก้วมณีและแก้วมุกดา
ประดับด้วยอาภรณ์ทุกอย่าง แด่พระผู้เป็นพระธรรมราชา.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 604
พระพุทธเจ้าแม้พระองค์นั้น ประทับนั่งท่ามกลางสงฆ์
ก็ทรงพยากรณ์เราว่า เก้าสิบเอ็ดกัปนับแต่กัปนี้ ท่านผู้นี้จักเป็นพระพุทธเจ้า.
พระตถาคต ออกอภิเนษกรมณ์ จากกรุงกบิลพัสดุ์
อันน่ารื่นรมย์ ทรงตั้งความเพียร ทำทุกกรกิริยา.
พระตถาคต ประทับนั่งที่โคนต้นอชปาลนิโครธ
ทรงรับข้าวมธุปายาสแล้วเข้าไปยังแม่น้ำเนรัญชรา.
พระชินเจ้าพระองค์นั้น เสวยข้าวมธุปายาสที่ริม
ฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา เสด็จดำเนินตามทางอันดีที่เขาจัดแต่งไว้ เข้าไปยังโคนโพธิพฤกษ์.
แต่นั้น พระผู้มีพระยศใหญ่
ทรงทำประทักษิณโพธิมัณฑสถานอันยอดเยี่ยม
ตรัสรู้ ณ โคนโพธิพฤกษ์ชื่อว่า อัสสัตถะ.
ท่านผู้นี้ จักมี
พระชนนี พระนามว่า พระนางมายา
พระชนกพระนามว่า พระเจ้าสุทโธทนะ
พระองค์ทรงพระนามว่า โคตมะ.
จักมีพระอัครสาวก ชื่อว่าพระโกลิตะ และพระอุปติสสะ
ผู้ไม่มีอาสวะ ปราศจากราคะ มีจิตสงบตั้งมั่น
พระพุทธอุปัฏฐาก ชื่อว่า พระอานันทะ จักบำรุงพระชินเจ้าผู้นี้.
จักมีอัครสาวิกาชื่อว่า พระเขมา และพระอุบลวรรณา
ผู้ไม่มีอาสวะ ปราศจากราคะ มีจิตสงบ ตั้งมั่น
โพธพฤกษ์ของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น เรียกว่า อัสสัตถะ ฯ ล ฯ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 605
เราฟังพระดำรัสของพระองค์แล้ว ก็ยิ่งมีจิตเสื่อมใส
จึงอธิษฐานข้อวัตรยิ่งยวดขึ้นไป เพื่อบำเพ็ญบารมี ๑๐ ให้บริบูรณ์.
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น
บทว่า ปุญฺญวนฺโต แปลว่า ผู้มีบุญ อธิบายว่าผู้มีกองบุญอันสั่งสมไว้แล้ว.
บทว่า ชุตินฺธฺโร ได้แก่ ประกอบด้วยรัศมี.
บทว่า เนกานํ นาคโกฏีนํ ก็คือ อเนกาหิ นาคโกฏีหิ พึงเห็นฉัฏฐีวิภัตติ ใช้ในอรรถตติยาวิภัตติ.
บทว่า ปริวาเรตฺวา ได้แก่ แวดล้อมพระผู้มีพระภาคเจ้า. ทรงแสดงพระองค์ ด้วยคำว่า อหํ.
บทว่า วชฺชนฺโต ได้แก่ บรรเลงประโคม.
บทว่า มณีมุตฺตรตนขจิตํ ความว่า ขจิตด้วยรัตนะต่างชนิดมีแก้วมณีและแก้วมุกดาเป็นต้น.
บทว่า สพฺพาภรณวิภูสิตํ ความว่าประดับด้วยอาภรณ์ทุกอย่าง ที่สำเร็จด้วยรัตนะเช่น รูปสัตว์ร้ายเป็นต้น .
บทว่า สุวณฺณปีฐํ ได้แก่ ตั่งที่สำเร็จด้วยทอง.
บทว่า อทาสหํ ตัดบทเป็น อทาสึ อหํ.
พระผู้มีพระภาคเจ้าวิปัสสี พระองค์นั้น
ทรงมีพระนครชื่อว่า พันธุมดี
พระชนก พระนามว่า พระเจ้าพันธุมา
พระชนนีพระนามว่า พระนางพันธุมดี
คู่พระอัครสาวก็ชื่อว่า พระขัณฑะ และ พระติสสะ
พระพุทธอุปัฏฐาก ชื่อว่า พระอโสกะ
คู่พระอัครสาวิกา ชื่อว่า พระจันทา และ พระจันทมิตตา
โพธิพฤกษ์ชื่อว่า ปาฏลี
พระสรีระสูง ๘๐ ศอก
พระรัศมีแห่งพระสรีระแผ่ไป ๗ โยชน์ทุกเวลา
พระชนมายุแปดหมื่นปี
พระอัครมเหสีของพระองค์ พระนามว่า พระนางสุตนู
พระโอรสของพระองค์ พระนามว่า พระสมวัฏฏขันธะ
ออกอภิเนษกรมณ์ ด้วยรถเทียมม้า.
ด้วยเหตุนั้นจึงตรัสว่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 606
พระวิปัสสีพุทธเจ้า ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่
ทรงมีพระนคร ชื่อพันธุมวดี
พระชนกพระนามว่า พระเจ้าพันธุมา
พระชนนีพระนามว่า พระนางพันธุมดี.
พระวิปัสสีพุทธเจ้า ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่
ทรงมีพระอัครสาวก ชื่อว่า พระขัณฑะ และ พระติสสะ
พระพุทธอุปัฏฐาก ชื่อว่าพระอโสกะ.
มีพระอัครสาวิกา ชื่อว่าพระจันทาและ พระจันทมิตตา
โพธิพฤกษ์ของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นเรียกว่า ต้นปาฏลี.
พระวิปัสสีพุทธเจ้า ผู้นำโลก
สูง ๘๐ ศอก
พระรัศมีของพระองค์แล่นไปโดยรอบ ๗ โยชน์.
ในยุคนั้นมนุษย์มีอายุแปดหมื่นปี
พระชนมายุของพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นมีพระชนม์ยืนถึงเพียงนั้น
จึงทรงยังหมู่ชนเป็นอันมากให้ข้ามโอฆะ.
พระวิปัสสีพุทธเจ้า
ทรงเปลื้องเทวดาและมนุษย์ เป็นอันมากจากเครื่องผูก
ทรงบอกทางและมิใช่ทางกะพวกปุถุชนที่เหลือ.
พระองค์และพระสาวก สำแดงแสงสว่าง
ทรงแสดงอมตบท รุ่งโรจน์แล้ว ก็ดับขันธปรินิพพาน
เหมือนกองไฟโพลงแล้วก็ดับ ฉะนั้น.
พระวรฤทธิ์อันเลิศ พระบุญญาธิการอันประเสริฐ
พระวรลักษณ์อันบานเต็มที่แล้ว ทั้งนั้น
ก็อันตรธานไปสิ้น สังขารทั้งปวงก็ว่างเปล่า แน่แท้.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 607
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น
บทว่า พนฺธนา ความว่า เปลื้องปล่อยซึ่งเทวดาและมนุษย์จากเครื่องผูกมีกามราคสังโยชน์เป็นต้น.
บทว่า มคฺคามคฺคญฺจ อาจิกฺขิ ความว่า
ทรงบอกปุถุชนที่เหลือว่า ทางนี้คือมัชฌิมาปฏิปทาเว้นจาก อุจเฉททิฏฐิและสัสสตทิฏฐิ
เป็นทางเพื่อบรรลุอมตธรรม การทำตัวให้ลำบากเปล่าเป็นต้นนี้มิใช่ทาง.
บทว่า อาโลกํ ทสฺสยิตฺวาน ได้แก่ ทรงแสดงแสงสว่าง คือมรรคญาณ และแสงสว่างคือวิปัสสนาญาณ.
บทว่า ลกฺขณญฺจกุสุมตํ ความว่า พระสรีระของพระผู้มีพระภาคเจ้า บานแล้ว
ประดับแล้วด้วยพระลักษณะอันวิจิตรเป็นต้น.
คำที่เหลือในคาถาทั้งหลายทุกแห่ง ง่ายทั้งนั้นแล.
จบพรรณนาวงศ์พระวิปัสสีพุทธเจ้า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 608