พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 622
วงศ์พระเวสสภูพุทธเจ้าที่ ๒๑
ว่าด้วยพระประวัติของพระเวสสภูพุทธเจ้า
[๒๒] ในมัณฑกัปนั้นนั่นเอง พระชินพุทธเจ้า
พระองค์นั้น พระนามว่า เวสสภู ผู้ไม่มีผู้เสมอ ไม่มีผู้เทียบเคียง ก็ทรงอุบัติขึ้นในโลก.
พระองค์ทรงทราบว่า สามโลก ถูกราคะเผาแล้ว
เป็นแว่นแคว้นแห่งตัณหาทั้งหลาย ทรงตัดเครื่อง
พันธนาการเหมือนช้าง ทรงบรรลุพระสัมโพธิญาณอันสูงสุด.
พระเวสสภูพุทธเจ้า ผู้นำโลก
ทรงประกาศพระธรรมจักร อภิสมัยครั้งที่ ๑ ได้มีแก่สัตว์แปดหมื่นโกฏิ.
เมื่อพระโลกเชษฐ์ ผู้องอาจในนรชน เสด็จหลีกจาริกไปในแว่นแคว้น
อภิสมัยครั้งที่ ๒ ได้มีแก่ สัตว์เจ็ดหมื่นโกฏิ.
พระองค์เมื่อทรงบรรเทาทิฏฐิใหญ่หลวงของพวกเดียรถีย์
ก็ทรงทำปาฏิหาริย์ มนุษย์และเทวดาในหมื่นโลกธาตุ ในโลกทั้งเทวโลกก็มาประชุมกัน.
เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายเห็นความมหัศจรรย์ไม่เคยมี ขนลุกชัน ก็พากันตรัสรู้หกหมื่นโกฏิ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 623
พระเวสสภูพุทธเจ้า ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่
มีสันนิบาต
ประชุมพระสาวกขีณาสพ ผู้ไร้มลทินมีจิตสงบคงที่ ๓ ครั้ง.
ประชุมพระสาวกแปดหมื่น เป็นสันนิบาตครั้งที่ ๑
ประชุมพระสาวกเจ็ดหมื่น เป็นสันนิบาตครั้งที่ ๒.
ประชุมภิกษุสาวกหกหมื่น ผู้ก้าวล่วงภัยมีชราเป็นต้น
พระโอรสของพระเวสสภูพุทธเจ้า ผู้แสวงหาคุณยิ่งใหญ่ เป็นสันนิบาตครั้งที่ ๓.
เราสดับพระธรรมจักรอันอุดมประณีต ที่พระพุทธเจ้าผู้ไม่มีผู้เสมอพระองค์นั้น
ทรงประกาศแล้วก็ชอบใจการบรรพชา.
สมัยนั้น เราเป็นกษัตริย์นามว่า สุทัสสนะ
ได้บูชาพระชินพุทธเจ้า พร้อมทั้งพระสงฆ์ ด้วยข้าวน้ำและผ้า.
เราบำเพ็ญมหาทานแล้ว ไม่เกียจคร้านทั้งกลางคืนกลางวัน
ทราบการบรรพชาว่าพรั่งพร้อมด้วยคุณจึงบวชในสำนักของพระชินพุทธเจ้า.
เราพรั่งพร้อมด้วยอาจารคุณ ตั้งมั่นในวัตรและศีล
กำลังแสวงหาพระสัพพัญญุตญาณ ก็ยินดียิ่งในพระศาสนาของพระชินพุทธเจ้า.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 624
เราเข้าถึงศรัทธาและปีติถวายบังคมพระพุทธเจ้า
ผู้พระศาสดา เราก็เกิดปีติ เพราะเหตุแห่งพระโพธิญาณนั่นแล.
พระสัมพุทธเจ้า ทรงทราบว่า เรามีใจไม่ท้อถอย
ก็ทรงพยากรณ์ดั่งนี้ว่า นับแต่กัปนี้ไปสามสิบเอ็ดกัป ท่านผู้นี้จักเป็นพระพุทธเจ้า.
พระตถาคต ออกอภิเนษกรมณ์จากกรุงกบิลพัสดุ์
อันน่ารื่นรมย์ ทรงตั้งความเพียร ทำทุกกรกิริยา.
พระตถาคตประทับนั่ง ณ โคนต้นอชปาลนิโครธ
ทรงรับข้าวมธุปายาส ณ ที่นั้น เสด็จเข้าไปยังแม่น้ำเนรัญชรา.
พระชินพุทธเจ้าพระองค์นั้น เสวยข้าวมธุปายาสที่ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา
เสด็จดำเนินตามทางอันดีที่เขาจัดแต่งไว้ ไปที่โคนโพธิพฤกษ์.
แต่นั้น พระผู้มีพระยศ
ทรงทำประทักษิณโพธิมัณฑสถานอันยอดเยี่ยม
ตรัสรู้ ณ โคนโพธิพฤกษ์ชื่อว่า ต้นอัสสัตถะ.
ท่านผู้นี้ จักมีพระชนนีพระนามว่า พระนางมายา
พระชนกพระนามว่า พระเจ้าสุทโธทนะ
ท่านผู้นี้จักมีพระนามว่า โคตมะ.
จักมีพระอัครสาวก ชื่อว่าพระโกลิตะและพระอุปติสสะ
ผู้ไม่มีอาสวะ ปราศจากราคะ มีจิตสงบตั้งมั่น
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 625
พระพุทธอุปัฏฐาก ชื่อว่าพระอานันทะ จักบำรุงพระชินเจ้าท่านนี้.
จักมีพระอัครสาวิกา ชื่อว่าพระเขมา และพระอุบลวรรณา
ผู้ไม่มีอาสวะ ปราศจากราคะ มีจิตสงบตั้งมั่น
โพธิพฤกษ์ของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นเรียกว่า ต้นอัสสัตถะ.
อัครอุปัฏฐาก ชื่อว่าจิตตะ และหัตถกะอาฬวกะ
อัครอุปัฏฐายิกา ชื่อว่านันทมาตา และอุตตรา
พระโคดมผู้มีพระยศ พระชนมายุ ๑๐๐ ปี.
มนุษย์และเทวดา ฟังพระดำรัสนี้ของพระเวสสภูพุทธเจ้า ผู้ไม่มีผู้เสมอ
ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่ ก็ปลาบปลื้มใจว่า ท่านผู้นี้เป็นหน่อพุทธางกูร.
หมื่นโลกธาตุ ทั้งเทวโลก ก็พากันโห่ร้องปรบมือ หัวร่อร่าเริง
ประคองอัญชลีนมัสการกล่าวว่า
ผิว่า พวกเราจักพลาดพระศาสนาของพระโลกนาถพระองค์นี้ไซร้
ในอนาคตกาล พวกเราก็จักอยู่ต่อหน้าของท่านผู้นี้.
มนุษย์ทั้งหลาย เมื่อข้ามแม่น้ำ พลาดท่าน้ำข้างหน้า ก็ถือเอาท่าน้ำข้างหลังข้ามแม่น้ำใหญ่ฉันใด.
พวกเราทั้งหมด ผิว่า ผ่านพ้นพระชินพุทธเจ้าพระองค์นี้ไซร้
ในอนาคตกาล พวกเราก็จักอยู่ต่อหน้าของท่านผู้นี้ ฉันนั้น เหมือนกัน.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 626
เราฟังพระดำรัสของพระองค์แล้ว จิตก็ยิ่งเลื่อมใส
จึงอธิษฐานข้อวัตรยิ่งยวดขึ้นไป เพื่อบำเพ็ญบารมีให้บริบูรณ์.
พระเวสสภูพุทธเจ้า ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่
ทรงมีพระนครชื่ออโนมะ
พระชนกพระนามว่า พระเจ้าสุปปตีตะ
พระชนนีพระนามว่า พระนางยสวดี.
พระองค์ทรงครองฆราวาสวิสัยอยู่หกหมื่นปี
มีปราสาทชั้นเยี่ยม ๓ หลังชื่อว่า รุจิ สุรติ และ วัฑฒกะ
มีพระสนมกำนัลสามหมื่นนางถ้วน
มีพระอัครมเหสีพระนามว่า พระนางสุจิตตา
พระโอรสพระนามว่า พระสุปปพุทธะ.
พระผู้สูงสุดในบุรุษ ทรงเห็นนิมิต ๔ ออก
อภิเนษกรมณ์ด้วยพระวอ ทรงบำเพ็ญเพียร ๖ เดือน.
พระมหาวีระ เวสสภู ผู้นำโลก
สูงสุดในนรชน อันท้าวมหาพรหมทูลอาราธนาแล้ว
ทรงประกาศพระธรรมจักร ณ อรุณราชอุทยาน.
พระเวสสภูพุทธเจ้า ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่
ทรงมีพระอัครสาวกชื่อว่า พระโสณะ และพระอุตตระ
มีพระพุทธอุปัฏฐากชื่อว่า พระอุปสันตะ.
พระอัครสาวิกา ชื่อว่า พระรามา และพระสมาลา
โพธิพฤกษ์ของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น เรียกว่า ต้นมหาสาละ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 627
อัครอุปัฏฐากชื่อว่า โสตถิกะ และรัมมะ
อัครอุปัฏฐายิกา ชื่อว่าโคตมี และสิริมา.
พระเวสสภูพุทธเจ้า สูง ๖๐ ศอก
อุปมาเสมอด้วยเสาทอง
พระรัศมีแล่นออกจากพระวรกาย เหมือนดวงไฟเหนือยอดเขายามราตรี.
พระชนมายุของพระเวสสภู
ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่พระองค์นั้น หกหมื่นปี
พระองค์ทรงพระชนม์ยืนถึงเพียงนั้น จึงทรงยังหมู่ชนเป็นอันมากให้ข้ามโอฆะ.
พระองค์ทั้งพระสาวก
ทรงทำพระธรรมให้แผ่ขยายไปกว้างขวาง
ทรงจำแนกมหาชน เป็นพระอริยะชั้นต่าง ๆ
ทรงตั้งธรรมนาวา แล้วก็เสด็จดับขันธปรินิพพาน.
ชนทั้งหมด พระวิหาร พระอิริยาบถที่น่าดู ทั้งนั้น
ก็อันตรธานไปสิ้นสังขารทั้งปวงก็ว่างเปล่า แน่แท้.
พระเวสสภูพุทธเจ้า ผู้ชินวรศาสดา
ดับขันธปรินิพพาน ณ พระวิหารเขมาราม
พระบรมสารีริกธาตุ ก็แผ่ไปกว้างขวางเป็นส่วน ในถิ่นนั้น ๆ.
จบวงศ์พระเวสสภูพุทธเจ้าที่ ๒๑
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 628
พรรณนาวงศ์พระเวสสภูพุทธเจ้าที่ ๒๑
ต่อจากสมัยของพระสุขีสัมมาสัมพุทธเจ้า
เมื่อพระศาสนาของพระองค์อันตรธานแล้ว
มนุษย์ที่มีอายุเจ็ดหมื่นปีก็ลดลงโดยลำดับ จนมีอายุสิบปี แล้วเพิ่มขึ้นอีกจนมีอายุนับไม่ได้
แล้วก็ลดลงโดยลำดับ จนมีอายุหกหมื่นปี.
ครั้งนั้นพระศาสดาพระนามว่า เวสสภู
เทพเจ้าผู้พิชิต ผู้ครอบงำโลกทั้งปวงผู้เกิดเอง
ทรงอุบัติในโลก พระองค์ทรงบำเพ็ญบารมีทั้งหลาย
บังเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต จุติจากนั้นแล้ว
ถือปฏิสนธิในพระครรภ์ของพระนางยสวดี ผู้มีศีล
อัครมเหสีของพระเจ้าสุปปตีตะ ผู้เป็นที่ยำเกรง กรุงอโนมะ
ถ้วนกำหนดทศมาสพระองค์ก็ประสูติจากพระครรภ์พระชนนี ณ อโนมราชอุทยาน
เมื่อสมภพ ก็ยังชนให้ยินดี ทรงบันลือดังเสียงวัวผู้
เพราะฉะนั้นในวันเฉลิมพระนามของพระองค์
พระประยูรญาติจึงเฉลิมพระนามว่า เวสสภู
เพราะเหตุที่ร้องดังเสียงวัวผู้
พระองค์ทรงครองฆราวาสวิสัยอยู่ หกพันปี
มีปราสาท ๓ หลังชื่อ ๑สุจิ สุรุจิและรติวัฑฒนะ
ปรากฏพระสนมกำนัลสามหมื่นนาง มีพระนางสุจิตตาเทวี เป็นประมุข.
เมื่อพระสุปปพุทธกุมาร ของ พระนางสุจิตตาเทวี สมภพ
พระองค์ทรงเห็นนิมิต ๔ เสด็จประพาสพระราชอุทยานด้วยพระวอทอง
ทรงรับผ้ากาสายะที่เทวดาถวาย ทรงผนวช
บุรุษเจ็ดหมื่นบวชตามเสด็จ
ลำดับนั้น
พระองค์อันบรรพชิตเหล่านั้นแวดล้อมแล้ว
ทรงบำเพ็ญเพียร ๖ เดือน
ในวันวิสาขบูรณมี เสวยข้าวมธุปายาสที่พระพี่เลี้ยงชื่อว่าสิริวัฒนา ผู้ปรากฏตัว
ณ สุจิตตนิคม ถวาย ทรงยับยั้งพักกลางวัน ณ สาลวัน เวลาเย็น
ทรงรับหญ้า ๘ กำที่พระยานาคชื่อ นรินทะ ถวาย
เสด็จเข้าไปยังโพธิพฤกษ์ชื่อต้นสาละ
๑. บาลีเป็นรุจิ สุรติและวัฑฒกะ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 629
ด้านทิศทักษิณ สาละต้นนั้นมีขนาดเท่าขนาดต้นปาฏลีแคฝอยนั้นแล.
ดอกผลสิริและสมบัติ ก็พึงทราบอย่างนั้นเหมือนกัน.
พระองค์เสด็จเข้าไปยังโคนต้นสาละ
ทรงลาดสันถัตหญ้ากว้าง ๔๐ ศอก ประทับนั่งขัดสมาธิ
ทรงได้อนาวรณญาณ ที่ปราศจากนิวรณ์ แต่ห้ามกันความเมาในกามทุกอย่าง
ทรงเปล่งพระอุทานว่า อเนกชาติสํสารํ ฯ ล ฯ ตณฺหานํ ขยมชฺฌคา ดังนี้
ทรงยับยั้ง ณ โพธิพฤกษ์นั้นนั่นแล ๗ สัปดาห์
ทรงเห็นอุปนิสัยสมบัติของพระโสณกุมารและพระอุตตรกุมาร
พระกนิษฐภาดาของพระองค์ จึงเสด็จไปทางอากาศ
ลงที่อรุณราชอุทยาน ใกล้ กรุงอนูปมะ
ทรงให้พนักงานเฝ้าพระราชอุทยานไปอัญเชิญพระกุมารมาแล้ว
ทรงประกาศพระธรรมจักร ท่ามกลางพระกุมารทั้งสองพระองค์นั้นทั้งบริวาร.
ครั้งนั้นอภิสมัยครั้งที่ ๑ ได้มีแก่ สัตว์แปดหมื่นโกฏิ.
ต่อมาอีก
พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อเสด็จจาริกไปในชนบท
ทรงแสดงธรรมโปรดในถิ่นนั้น ๆ
ธรรมาภิสมัยก็ได้มีแก่ สัตว์เจ็ดหมื่นโกฏิ.
นั้นเป็นอภิสมัยครั้งที่ ๒.
พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อทรงทำลายข่ายคือทิฏฐิ [เดียรถีย์]
ล้มธงคือมานะของเดียรถีย์ กำจัดความเมาด้วยมานะ
ทรงยกธงคือธรรมขึ้น
ทรงทำยมกปาฏิหาริย์ ในมนุษยบริษัทกว้าง เก้าสิบโยชน์
ในเทวบริษัทประมาณมิได้ ณ กรุงอนูปมะนั่นเอง
ยังเทวดาและมนุษย์ให้เลื่อมใสแล้ว ทรงยังสัตว์หกหมื่นโกฏิ
ให้อิ่มด้วยอมตธรรม นั้นเป็นอภิสมัยครั้งที่ ๓
ด้วยเหตุนั้นจึงตรัสว่า
ในมัณฑกัปนั้นนั่นเอง พระผู้นำโลกพระนามว่า เวสสภู
ผู้ไม่มีผู้เสมอ ไม่มีผู้เทียบเคียง ก็ทรงอุบัติในโลก.
ทรงทราบว่าโลกสามถูกราคะไหม้แล้ว เป็นถิ่นของตัณหาทั้งหลาย
พระองค์ก็ทรงตัดเครื่องพันธนาการดุจพระยาช้าง
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 630
ทรงบรรลุพระสัมโพธิญาณอันสูงสุด.
พระเวสสภูพุทธเจ้า ผู้นำโลก
ทรงประกาศพระธรรมจักร อภิสมัยครั้งที่ ๑ ได้มีแก่สัตว์แปดหมื่นโกฏิ.
เมื่อพระโลกเชษฐ์ผู้องอาจในนรชน ทรงหลีก
จาริกไปในแว่นแคว้น อภิสมัยครั้งที่ ๒ ก็ได้มีแก่สัตว์เจ็ดหมื่นโกฏิ.
พระองค์เมื่อทรงบรรเทาทิฏฐิอย่างใหญ่หลวงของเดียรถีย์
ทรงทำยมกปาฏิหาริย์ มนุษย์และเทวดาในหมื่นโลกธาตุ
ในโลกทั้งเทวโลกก็มาประชุมกัน.
เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายเห็นมหัศจรรย์ไม่เคยมี
น่าขนชูชัน ก็ตรัสรู้ธรรมถึง หกหมื่นโกฏิ.
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น
บทว่า อาทิตฺตํ ความว่า สิ้นทั้งสามโลกนี้ ถูกไฟไหม้แล้ว.
บทว่า ราคคฺคิ แปลว่า อันราคะ.
บทว่า ตณฺหานํ วิชิตํ ตทา ความว่า
ทรงทราบว่า สามโลก เป็นถิ่นแคว้น สถานที่ตกอยู่ในอำนาจของตัณหาทั้งหลาย.
บทว่า นาโคว พนฺธนํ เฉตฺวา ความว่า
ทรงตัดเครื่องพันธนาการดุจเถาวัลย์เน่า ประดุจช้าง ทรงบรรลุถึงพระสัมโพธิญาณ.
บทว่า ทสสหสฺสี ก็คือ ทสสหสฺสิยํ.
บทว่า สเทวเก ได้แก่ ในโลกทั้งเทวโลก.
บทว่า พุชฺฌเร แปลว่า ตรัสรู้แล้ว.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 631
อนึ่งเล่า
พระผู้มีพระภาคเจ้าเวสสภู ทรงยกปาติโมกข์ขึ้นแสดง ณ วันมาฆบูรณมี
ท่ามกลางพระอรหันต์แปดหมื่นที่บวชในสมาคมของ พระโสณะ และ พระอุตตระ
คู่พระอัครสาวก นั้นเป็นสันนิบาตครั้งที่ ๑.
ครั้งภิกษุนับจำนวนได้เจ็ดหมื่น
ซึ่งบวชกับพระเวสสภูผู้ครอบงำโลกทั้งปวงพากันหลีกไป
สมัยที่พระเวสสภูจะหลีกออกจากคณะไป ภิกษุเหล่านั้น
สดับข่าวการประกาศพระธรรมจักรของพระเวสสภูสัมมาสัมพุทธเจ้า
จึงพากัน มายังนครโสเรยยะ ก็ได้พบพระผู้มีพระภาคเจ้า.
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงธรรมโปรดภิกษุเหล่านั้น
ทรงให้ภิกษุเหล่านั้นบวชด้วยเอหิภิกษุบรรพชาทั้งหมด แล้ว
ทรงยกปาติโมกข์ขึ้นแสดงในบริษัทที่ประกอบด้วยองค์ ๔ นั้นเป็นสันนิบาตครั้งที่ ๒.
อนึ่ง ครั้งพระราชบุตรพระนามว่าอุปสันตะ
ทรงขึ้นครองราชย์ในกรุง นาริวาหนะ
พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จไปนครนั้น เพื่ออนุเคราะห์พระราชบุตรนั้น.
แม้พระราชบุตรนั้นทราบข่าวการเสด็จมาของพระผู้มีพระภาคเจ้า
พร้อมทั้งบริวารจึงทรงออกไปรับเสด็จ นิมนต์มาถวายมหาทาน
ทรงสดับธรรมของพระองค์ก็มีพระหฤทัยเลื่อมใสแล้วทรงผนวช บุรุษหกหมื่นโกฏิก็บวชตาม
เสด็จภิกษุเหล่านั้น บรรลุพระอรหัตพร้อมกับพระราชบุตรนั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้าเวสสภูนั้น อันภิกษุเหล่านั้นแวดล้อมแล้ว
ก็ทรงยกปาติโมกข์ขึ้นแสดง นั้นเป็นสันนิบาตครั้งที่ ๓
ด้วยเหตุนั้น พระองค์จึงตรัสว่า
พระเวสสภูพุทธเจ้า ผู้แสวงหาคุณยิ่งใหญ่
ทรงมีสันนิบาตประชุมพระสาวกขีณาสพผู้ไร้มลทิน มีจิตสงบ คงที่ ๓ ครั้ง.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 632
ประชุมภิกษุสาวกแปดหมื่น เป็นสันนิบาตครั้งที่ ๑
ประชุมภิกษุสาวกเจ็ดหมื่น เป็นสันนิบาตครั้งที่ ๒.
ประชุมภิกษุสาวกหกหมื่น ผู้กลัวแต่ภัยมีชราเป็นต้น
โอรสของพระเวสสภูพุทธเจ้าผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่ เป็นสันนิบาตครั้งที่ ๓.
ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์ของเรา
เป็นพระราชาพระนามว่า พระเจ้าสุทัสสนะ
ผู้มีทัศนะน่ารักอย่างยิ่ง ณ กรุงสรภวดี
เมื่อพระเวสสภูพุทธเจ้า ผู้นำโลก เสด็จถึงกรุงสรภะ
ทรงสดับธรรมของพระองค์ มีพระหฤทัยเลื่อมใสแล้ว
ทรงยกอัญชลีอันรุ่งเรื่องด้วยทศนขสโมธาน
เสมือนดอกบัวตูมเกิดในน้ำ ไม่มีมลทิน ไม่วิกลบกพร่อง ไว้เหนือเศียร
ถวายมหาทานพร้อมทั้งจีวรแด่พระสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน
ทรงสร้างพระคันธกุฎี เพื่อเป็นที่ประทับอยู่ของพระผู้มีพระภาคเจ้า ณ นครนั้น
ทรงสร้างวิหารพันหลังล้อมพระคันธกุฎีนั้น
ทรงบริจาคสมบัติทุกสิ่งทุกอย่างไว้ในพระศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงผนวช ณ สำนักของพระองค์แล้ว
ทรงพร้อมด้วยอาจารคุณ
ทรงยินดีในธุดงคคุณ ๑๓
ทรงยินดีในการแสวงหาพระโพธิสมภาร
ทรงยินดีในพระพุทธศาสนาอยู่แล้ว
พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น
ก็ทรงพยากรณ์พระโพธิสัตว์นั้นว่า
ในอนาคตกาล สามสิบเอ็ดกัปนับแต่กัปนี้ไป
ท่านผู้นี้จักเป็นพระพุทธเจ้าพระนามว่าโคตมะ.
ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
สมัยนั้น เราเป็นกษัตริย์นามว่าสุทัสสนะ
นิมนต์พระมหาวีระ ถวายทานอย่างสมควรยิ่งใหญ่
บูชาพระชินพุทธเจ้า พร้อมด้วยพระสงฆ์ ด้วยข้าวน้ำและผ้า.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 633
เราสดับพระธรรมจักรอันอุดมประณีตที่พระพุทธเจ้าผู้ไม่มีผู้เสมอพระองค์นั้น
ทรงประกาศแล้วก็ชอบใจการบรรพชา.
เราบำเพ็ญมหาทาน ไม่เกียจคร้านทั้งกลางคืน
กลางวัน ทราบการบรรพชาว่าพร้อมพรั่งด้วยคุณ จึงบรรพชาในสำนักของพระชินพุทธเจ้า.
เราถึงพร้อมด้วยอาจารคุณ ตั้งมั่นในวัตรและศีล
แสวงหาพระสัพพัญญุตญาณ จึงยินดีอยู่ในพระศาสนา ของพระชินพุทธเจ้า.
เราเข้าถึงศรัทธาและปีติ ถวายบังคมพระพุทธเจ้า
ผู้พระศาสดา เราก็เกิดปีติ เพราะเหตุแห่งพระโพธิญาณนั่นแล.
พระสัมพุทธเจ้าทรงทราบว่า เรามีใจไม่ท้อถอย
จึงทรงพยากรณ์ดังนี้ว่า
นับแต่กัปนี้ไปสามสิบเอ็ดกัปท่านผู้นี้จักเป็นพระพุทธเจ้า.
พระตถาคตออกอภิเนษกรมณ์จากกรุงกบิลพัสดุ์อันน่ารื่นรมย์ ฯ ล ฯ จักอยู่ต่อหน้าของท่านผู้นี้.
เราฟังพระดำรัสของพระองค์ จิตก็ยิ่งเสื่อมใส จึง
อธิษฐานข้อวัตรยิ่งยวดขึ้นไป เพื่อบำเพ็ญบารมี ๑๐ ให้บริบูรณ์.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 634
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น
บทว่า จกฺกํ วตฺติตํ ได้แก่ ธรรมจักร ที่ทรงประกาศแล้ว.
บทว่า ปณิตํ ธมฺมํ ได้แก่ ธรรมอันยิ่งของมนุษย์ ความว่า เรารู้การบวชว่าพรั่งพร้อมด้วยคุณจึงบวช.
บทว่า วตฺตสีลสมาหิโต ได้แก่ ตั้งมั่นในวัตรและศีล
อธิบายว่า มั่นคงในการบำเพ็ญวัตรและศีลนั้น ๆ.
บทว่า รมามิ แปลว่า ยินดียิ่งแล้ว.
บทว่า สทฺธาปีตึ ได้แก่ เข้าถึงศรัทธาและปีติ.
บทว่า วนฺทามิ ได้แก่ ถวายบังคมแล้ว.
พึงเห็นว่าคำที่เป็นปัจจุบันกาล ใช้ในอรรถอดีตกาล.
บทว่า สตฺถรํ ก็คือ สตฺถารํ.
บทว่า อนิวตฺตมานสํ ได้แก่ มีใจไม่ท้อถอย.
ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น
ทรงมีพระนครชื่อว่า อโนมะ
พระชนกมีพระนามว่า พระเจ้าสุปปตีตะ
พระชนนีพระนามว่า พระนางยสวดี
คู่พระอัครสาวกชื่อว่าพระโสณะ และพระอุตตระ
พระพุทธอุปัฏฐากชื่อว่า พระอุปสันตะ
คู่พระอัครสาวิกาชื่อว่าพระรามา และพระสมาลา
โพธิพฤกษ์ชื่อว่าต้นสาละ
พระสรีระสูง ๖๐ ศอก พระชนมายุหกหมื่นปี
พระอัครมเหสีพระนามว่า พระนางสุจิตตา
พระโอรสพระนามว่าพระสุปปพุทธะ
เสด็จออกภิเนษกรมณ์ด้วยพระวอทอง.
ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
พระเวสสภูพุทธเจ้า ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่
ทรงมีพระนครชื่อ อโนมะ
พระชนกพระนามว่า พระเจ้าสุปปตีตะ
พระชนนีพระนามว่า พระนางยสวดี.
พระเวสสภูพุทธเจ้า ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่
มีพระอัครสาวก ชื่อว่า พระโสณะและพระอุตตระ
พระพุทธอุปัฏฐากชื่อว่า พระอุปสันตะ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 635
มีพระอัครสาวิกา ชื่อว่า พระรามาและพระสมาลา
โพธิพฤกษ์ของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น เรียกว่า ต้นมหาสาละ.
มีอัครอุปัฏฐาก ชื่อว่าโสตถิกะและรัมมะ
อัครอุปัฏฐายิกา ชื่อว่าโคตมีและสิริมา.
พระเวสสภูพุทธเจ้า สูง ๖๐ ศอก
อุปมาเสมอด้วยเสาทอง
พระรัศมีแล่นออกจากพระวรกาย เหมือนดวงไฟบนเขายามราตรี.
พระชนมายุของพระเวสสภูพุทธเจ้า ผู้แสวงหาคุณยิ่งใหญ่พระองค์นั้น หกหมื่นปี
พระองค์ทรงมีพระชนม์ยืนถึงเพียงนั้น จึงยังหมู่ชนเป็นอันมากให้ข้ามโอฆะ.
พระองค์ทั้งพระสาวก ทรงทำธรรมะให้ขยายไปกว้างขวาง
ทรงจำแนกมหาชน ทรงตั้งธรรมนาวาไว้แล้ว ก็ดับขันธปรินิพพาน.
ชนทั้งหมด พระวิหาร พระอิริยาบถล้วนน่าดู
ทั้งนั้นก็อันตรธานไปสิ้น สังขารทั้งปวงก็ว่างเปล่าแน่แท้.
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น
บทว่า เหมยูปสมูปโม ความว่า เสมือนเสาทอง.
บทว่า นิจฺฉรติ ได้แก่ แล่นไปทางโน้นทางนี้.
บทว่า รสฺมิ ได้แก่ แสงรัศมี.
บทว่า รตฺตึว ปพฺพเต สิขี ความว่า รัศมีส่องสว่างในพระวรกาย
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 636
ของพระองค์ เหมือนดวงไฟบนยอดเขาเวลากลางคืน.
บทว่า วิภชิตฺวา ความว่า ทำการจำแนก
โดยเป็นอุคฆฏิตัญญูเป็นต้น และโดยเป็นพระโสดาบันเป็นอาทิ.
บทว่า ธมฺมนาวํ ความว่า ทรงตั้งธรรมนาวา คือมรรคมีองค์ ๘ เพื่อช่วยให้ข้ามโอฆะ ๔.
บทว่า ทสฺสนียํ ก็คือ ทสฺสนีโย.
บทว่า สพฺพชนํ ชนทั้งปวงก็คือ สพฺโพชโน
อธิบายว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพร้อมทั้งพระสงฆ์สาวก.
บทว่า วิหารํ ก็คือ วิหาโร พึงเห็นว่าทุติยาวิภัตติ ใช้ในอรรถปฐมาวิภัตติทุกแห่ง.
ได้ยินว่า
พระผู้มีพระภาคเจ้าเวสสภู
เสด็จดับขันธปรินิพพาน ณ เขมมิคทายวัน กรุงอุสภวดี.
พระบรมสารีริกธาตุของพระองค์ กระจัดกระจายไป.
ได้ยินว่า
พระผู้มีพระภาคเจ้าเวสสภู พระชินะผู้ประเสริฐ.
เสด็จดับขันธปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพาน
ณ พระวิหารใกล้ป่าที่น่ารื่นรมย์ กรุงอุสภวดีราชธานี.
คำที่เหลือในคาถาทั้งหลายทุกแห่ง ชัดแล้วทั้งนั้นแล.
จบพรรณนาวงศ์พระเวสสภูพุทธเจ้า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 637