พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 652
วงศ์พระโกนาคมนพุทธเจ้าที่ ๒๓
ว่าด้วยพระประวัติของ พระโกนาคมนพุทธเจ้า
[๒๔] ต่อมาจากสมัยของพระกกุสันธพุทธเจ้า
ก็มีพระชินสัมพุทธเจ้า พระนามว่า โกนาคมนะ ผู้สูงสุดแห่งสัตว์สองเท้า
ผู้เจริญที่สุดในโลก ผู้องอาจในนรชน.
ทรงบำเพ็ญบารมีธรรม ๑๐ ทรงก้าวล่วงกันดาร
ทรงลอยมลทินทั้งปวง บรรลุพระสัมโพธิญาณสูงสุด.
เมื่อพระโกนาคมนพุทธเจ้า ผู้นำพิเศษ ทรง
ประกาศพระธรรมจักร อภิสมัยครั้งที่ ๑ ได้มีแก่ สัตว์สามหมื่นโกฏิ.
อนึ่ง เมื่อพระโกนาคมนพุทธเจ้า
ทรงแสดงปาฏิหาริย์ในการย่ำยีลัทธิวาทของฝ่ายปรปักษ์ อภิสมัยครั้งที่ ๒ ได้มีแก่ สัตว์สองหมื่นโกฏิ.
แต่นั้น พระชินสัมพุทธเจ้าทรงแสดงฤทธิ์ต่างๆ เสด็จไปเทวโลก
ประทับอยู่เหนือแท่นบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ณ เทวโลกนั้น.
พระมุนีพระองค์นั้น
อยู่จำพรรษาแสดงพระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ อภิสมัยครั้งที่ ๓ ได้มีแก่ เทวดาหมื่นโกฏิ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 653
พระโกนาคมนพุทธเจ้า
ผู้เป็นเทพแห่งเทพพระองค์นั้น
ทรงมีสันนิบาตประชุมพระสาวกขีณาสพ ผู้ไร้มลทินมีจิตสงบ คงที่ครั้งเดียว.
ครั้งนั้น เป็นสันนิบาตประชุมภิกษุสาวกสามหมื่นโกฏิ
ผู้ข้ามโอฆะทั้งหลาย ผู้หักรานมัจจุเสียแล้ว.
สมัยนั้น เราเป็นกษัตริย์นามว่า ปัพพตะ
พรั่งพร้อมด้วยมิตรอมาตย์ทั้งหลาย ผู้มีกำลังพลและพาหนะหาที่สุดมิได้.
เราไปเฝ้าพระสัมพุทธเจ้า สดับธรรมอันยอดเยี่ยม
นิมนต์พระองค์ทั้งพระสงฆ์พุทธชิโนรสถวายทาน จนพอแก่ความต้องการ.
ได้ถวายผ้าไหมทำในเมืองปัตตุณณะ
ผ้าไหมทำในเมืองจีน ผ้าแพร ผ้ากัมพล และฉลองพระบาท
ประดับทอง แด่พระศาสดาและพระสาวกทั้งหลาย.
พระมุนีแม้พระองค์นั้น ประทับนั่งท่ามกลางสงฆ์
ทรงพยากรณ์เราว่า
ในภัทรกัปนี้ ท่านผู้นี้จักเป็นพระพุทธเจ้า.
พระตถาคต ออกอภิเนษกรมณ์จากกรุงกบิลพัสดุ์อันน่ารื่นรมย์ ตั้งความเพียร ทำทุกกรกิริยา.
พระตถาคต ประทับนั่ง ณ โคนต้นอชปาลนิโครธ
ทรงรับข้าวมธุปายาสในที่นั้นแล้ว เสด็จไปยังแม่น้ำเนรัญชรา.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 654
พระชินเจ้าพระองค์นั้น เสวยข้าวมธุปายาสที่ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา
เสด็จดำเนินตามทางอันดีที่เขาจัดแต่งไว้ ไปที่โคนโพธิพฤกษ์.
แต่นั้น พระผู้มีพระยศใหญ่ ทรงทำประทักษิณโพธิมัณฑสถานอันยอดเยี่ยม
ตรัสรู้ ณ โคนโพธิพฤกษ์ชื่อต้นอัสสัตถะ.
ท่านผู้นี้จักมี
พระชนนี พระนามว่า พระนางมายา
พระชนกพระนามว่า พระเจ้าสุทโธทนะ
ท่านผู้นี้จักมีพระนามว่า โคตมะ.
จักมีพระอัครสาวก ชื่อว่าพระโกลิตะ และพระอุปติสสะ
ผู้ไม่มีอาสวะ ปราศจากราคะ มีจิตสงบตั้งมั่น
พระพุทธอุปัฏฐากชื่อว่าพระอานันทะ จักบำรุงพระชินเจ้าพระองค์นี้.
จักมีพระอัครสาวิกา ชื่อว่าพระเขมาและพระอุบลวรรณา
ผู้ไม่มีอาสวะ ปราศจากราคะ มีจิตสงบตั้งมั่น
โพธิพฤกษ์ของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นเรียกว่า ต้นอัสสัตถะ.
จักมีอัครอุปัฏฐากชื่อจิตตะ และหัตถกะอาฬวกะ
อัครอุปัฏฐายิกา ชื่อว่า นันทมาตา และอุตตรา
พระโคดมผู้มีพระยศพระองค์นั้น จักมีพระชนมายุ ๑๐๐ ปี.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 655
มนุษย์และเทวดาทั้งหลาย ฟังพระดำรัสนี้ของพระองค์ผู้ไม่มีผู้เสมอ
ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่แล้วก็ปลาบปลื้มใจว่า ท่านผู้นี้เป็นหน่อพุทธางกูร.
หมื่นโลกธาตุ ทั้งเทวโลก พากันโห่ร้อง ปรบมือ หัวร่อร่าเริง
ประคองอัญชลีนมัสการ
กล่าวว่าผิว่า พวกเราจักพลาดพระศาสนาของพระโลกนาถพระองค์นี้ไซร้
ในอนาคตกาล พวกเราก็จักอยู่ต่อหน้าของท่านผู้นี้.
มนุษย์ทั้งหลาย เมื่อข้ามแม่น้ำ พลาดท่าน้ำข้างหน้า
ก็ถือเอาท่าน้ำข้างหลัง ข้ามแม่น้ำใหญ่ฉันใด.
พวกเราทั้งหมด ผิว่า ผ่านพ้นพระชินพุทธเจ้าพระองค์นี้ไซร้
ในอนาคตกาล พวกเราก็จักอยู่ต่อหน้าของท่านผู้นี้ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน.
เราสดับพระดำรัสของพระองค์แล้ว จิตก็ยิ่งเลื่อมใส
จึงอธิษฐานข้อวัตรยิ่งยวดขึ้นไป เพื่อบำเพ็ญบารมี ๑๐ ให้บริบูรณ์.
เรากำลังแสวงหาพระสัพพัญญุตญาณ ถวายทานแด่พระผู้สูงสุดในนรชน
สละราชสมบัติยิ่งใหญ่แล้วบวชในสำนักพระชินพุทธเจ้า.
พระนครชื่อ โสภวดี
มีกษัตริย์พระนามว่า โสภะ
ตระกูลของพระสัมพุทธเจ้าเป็นตระกูลใหญ่ อยู่ในพระนครนั้น.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 656
พระโกนาคมนพุทธเจ้า ผู้เป็นพระศาสดา
มีพระชนกเป็นพราหมณ์ชื่อว่า ยัญญทัตตะ
พระชนนีเป็นพราหมณีชื่อว่า อุตตรา.
พระองค์ทรงครองฆราวาสวิสัยอยู่ สามพันปี
มีปราสาทชั้นเยี่ยม ๓ หลัง ชื่อว่า ตุสิตะ สันดุสิต และสันตุฏฐะ
มีนางบำเรอหนึ่งหมื่นหกพันนาง ภริยาชื่อว่า รุจิคัตตา
พระโอรสชื่อว่า สัตถวาหะ.
พระผู้สูงสุดในบุรุษ ทรงเห็นนิมิต ๔
ออกอภิเนษกรมณ์ด้วยยานคือ ช้าง
ทรงบำเพ็ญเพียร ๖ เดือน.
พระมหาวีระ โกนาคมนะ ผู้นำโลก
ผู้สูงสุดในนรชน อันท้าวมหาพรหมอาราธนาแล้ว
ทรงประกาศพระธรรมจักร ณ มิคทายวัน.
พระโกนาคมนพุทธเจ้า ผู้มีพระยศ
มีพระอัครสาวก ชื่อว่า พระภิยโยสะ และพระอุตตระ
พระพุทธอุปัฏฐากชื่อว่า พระโสตถิชะ.
มีพระอัครสาวิกา ชื่อว่า พระสมุททาและพระอุตตรา
โพธิพฤกษ์ของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น เรียกว่า ต้นอุทุมพร.
มีอัครอุปัฏฐาก ชื่อว่า อุคคะ และโสมเทวะ
มีอัครอุปัฏฐายิกา ชื่อว่า สีวลา และสามา.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 657
พระพุทธเจ้าพระองค์นั้น สูง ๓๐ ศอก
ประดับด้วยพระรัศมีทั้งหลาย เหมือนแท่งทองในเบ้าช่างทอง.
ในยุคนั้น พระพุทธเจ้ามีพระชนมายุ สามหมื่นปี
พระองค์มีพระชนม์ยืนถึงเพียงนั้น จึงยังหมู่ชนเป็นอันมากให้ข้ามโอฆะ.
พระองค์ทั้งพระสาวก ทรงยกธรรมเจดีย์ที่ประดับด้วยธงผ้าคือธรรม
ทรงทำพวงมาลัยดอกไม้คือธรรมแล้วดับขันธปรินิพพาน.
พระสงฆ์สาวกของพระองค์พิลาสด้วยฤทธิ์ยิ่งใหญ่
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประกาศธรรมอันเป็นสิริ ทั้งนั้น ก็อันตรธานไปสิ้น
สังขารทั้งปวงก็ว่างเปล่า แน่แท้
พระโกนาคมนสัมพุทธเจ้า
ปรินิพพาน ณ พระวิหารปัพพตาราม.
พระบรมสารีริกธาตุ แผ่กระจายไปเป็นส่วน ๆ ณ ที่นั้น ๆ แล.
จบวงศ์พระโกนาคมนพุทธเจ้าที่ ๒๓
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 658
พรรณาวงศ์พระโกนาคมนพุทธเจ้าที่ ๒๓
ภายหลังต่อมาจากสมัยของพระผู้มีพระภาคเจ้า กกุสันธะ
เมื่อพระศาสนาของพระองค์อันตรธานแล้ว
เมื่อสัตว์ทั้งหลายเกิดมามีอายุสามหมื่นปี.
พระศาสดาพระนามว่า โกนาคมนะ
ผู้มีไม้ดีดพิณมาเป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่ผู้อื่น ก็อุบัติขึ้นในโลก
อีกนัยหนึ่ง
พระศาสดาพระนามว่า โกณาคมนะ
เพราะเป็นที่มาแห่งอาภรณ์ทองเป็นต้น อุบัติขึ้นในโลก.
ทอง เครื่องประดับมีทองเป็นต้น มาตกลง
ในเวลาที่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์ใดทรงอุบัติ
พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ทรงพระนามว่า โกณาคมนะ
โดยนัยแห่งนิรุกติศาสตร์เพราะอาเทศ ก เป็น โก, อาเทศ น เป็น ณา ลบ ก เสียตัวหนึ่ง
ในคำว่า โกณาคมโน นั้น ก็ในข้อนี้อายุท่านทำให้เป็นเสมือนเสื่อมลงโดยลำดับ
แต่มิใช่เสื่อมอย่างนี้ พึงทราบว่า เจริญแล้วเสื่อมลงอีก. อย่างไร.
ในกัปนี้เท่านั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้ากกุสันธะ
ทรงบังเกิดในเวลาที่มนุษย์มีอายุสี่หมื่นปี
แต่อายุนั้นกำลังลดลงจนถึงอายุสิบปี แล้วกลับเจริญขึ้นถึงอายุนับไม่ถ้วน (อสงไขย) แต่นั้นก็ลดลง
ตั้งอยู่ในเวลาที่มนุษย์มีอายุสามหมื่นปี
ครั้งนั้นพึงทราบว่า
พระผู้มีพระภาคเจ้า โกนาคมนะ ทรงอุบัติขึ้นในโลก.
แม้พระองค์ก็ทรงบำเพ็ญบารมีทั้งหลาย แล้วบังเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต
จุติจากนั้นแล้ว
ก็ถือปฏิสนธิในครรภ์ของพราหมณีชื่อ อุตตรา ผู้ยอดเยี่ยมด้วยคุณมีรูปเป็นต้น
ภริยาของ ยัญญทัตตพราหมณ์ กรุงโสภวดี
ถ้วนกำหนดทศมาส ก็เคลื่อนออกจากครรภ์ของชนนี ณ สุภวดีอุทยาน
เมื่อพระองค์สมภพ ฝนก็ตกลงมาเป็นทองทั่วชมพูทวีป
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 659
ด้วยเหตุนั้น เพราะเหตุที่ทรงเป็นที่มาแห่งทอง
พระประยูรญาติจึงเฉลิมพระนามว่า กนกาคมนะ.
ก็พระนามนั้นของพระองค์แปรเปลี่ยนมาโดยลำดับ เป็นโกนาคมนะ.
พระองค์ทรงครองฆราวาสวิสัยอยู่สามพันปี
มีปราสาท ๓ หลั่งชื่อว่า ดุสิตะ สันดุสิตะและสันตุฏฐะ
มีนางบำเรอหนึ่งหมื่นหกพันนาง มีนางรุจิคัตตาพราหมณีเป็นประมุข.
เมื่อบุตรชื่อ สัตถวาทะ ของนางรุจิคัตตาพราหมณีเกิด
พระองค์ทรงเห็นนิมิต ๔
ก็ขึ้นคอช้างสำคัญ ออกอภิเนษกรมณ์ด้วยยานคือช้าง
ทรงผนวชบุรุษสามหมื่นก็บวชตาม
พระองค์อันบรรพชิตเหล่านั้นแวดล้อม
ก็บำเพ็ญเพียร ๖ เดือน
ในวันวิสาขบูรณมี
ก็เสวยข้าวมธุปายาส ที่อัคคิโสณพราหมณกุมารี
ธิดาของอัคคิโสณพราหมณ์ถวาย พักกลางวัน ณ ป่าตะเคียน
เวลาเย็น รับหญ้า ๘ กำ ที่คนเฝ้าไร่ข้าวเหนียวชื่อ ชฏาตินทุกะ ถวาย
จึงเข้าไปยังโพธิพฤกษ์ชื่อ ต้นอุทุมพร คือ ไม้มะเดื่อ ซึ่งมีขนาดที่กล่าวแล้วในต้นปุณฑรีกะ
ที่พรั่งพร้อมด้วยความเจริญแห่งผล ทางด้านทักษิณ
ทรงลาดสันถัตหญ้ากว้าง ๒๐ ศอก
นั่งขัดสมาธิ กำจัดกองกำลังของมาร
ทรงได้ทศพลญาณ
ทรงเปล่งอุทานว่าอเนกชาติสํสารํ ฯเปฯ ตณฺหานํ ขยมชฺฌคา ดังนี้
ทรงยับยั้งอยู่ ๗ สัปดาห์
ทรงเห็นอุปนิสัยสมบัติของภิกษุ สามหมื่น ที่บวชกับพระองค์
เสด็จไปทางอากาศ เสด็จลงที่อิสิปตนะมิคทายวัน ใกล้กรุงสุทัสสนนคร
อยู่ท่ามกลางภิกษุเหล่านั้น ทรงประกาศธรรมจักร ครั้งนั้นอภิสมัยครั้งที่ ๑ ได้มีแก่สัตว์สามหมื่นโกฏิ.
ต่อมาอีก
ทรงทำยมกปาฏิหาริย์ ณ โคนต้นมหาสาละ ใกล้ประตูสุนทรนคร
ทรงยังสัตว์สองหมื่นโกฏิให้ดื่มอมฤตธรรม นั้นเป็นอภิสมัยครั้งที่ ๒
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 660
เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงแสดงอภิธรรมปิฎกโปรดเทวดาทั้งหลายที่มาประชุมกันในหมื่นจักรวาล
มีนางอุตตราพระชนนีของพระองค์เป็นประธาน อภิสมัยครั้งที่ ๓ ได้มีแก่สัตว์หมื่นโกฏิ.
ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
ต่อมาจากสมัยของพระกกุสันธพุทธเจ้า
ก็มีพระชินสัมพุทธเจ้า พระนามว่า โกนาคมนะ
สูงสุดแห่งสัตว์สองเท้า เจริญที่สุดในโลก ผู้องอาจในนรชน.
ทรงบำเพ็ญบารมีธรรม ๑๐ ก้าวล่วงทางกันดาร
ทรงลอยมลทินทั้งปวง ทรงบรรลุพระโพธิญาณอันสูงสุด.
เมื่อพระโกนาคมนะ ผู้นำ
ทรงประกาศพระธรรมจักร อภิสมัยครั้งที่ ได้มีแก่ สัตว์สามหมื่นโกฏิ.
และเมื่อทรงทำยมกปาฏิหาริย์
ย่ำยีดำติเตียนของฝ่ายปรปักษ์ อภิสมัยครั้งที่ ๒ ได้มีแก่สัตว์สองหมื่นโกฏิ.
ต่อนั้น พระชินสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงฤทธิ์ต่างๆ
เสด็จไปยังเทวโลก ประทับอยู่เหนือบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ณ เทวโลกนั้น.
พระมุนีพระองค์นั้น ประทับจำพรรษาแสดง
พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ อภิสมัยครั้งที่ ๓ ได้มีแก่ เทวดาหมื่นโกฏิ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 661
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น
บทว่า ทส ธมฺเม ปูรยิตฺวาน ได้แก่ บำเพ็ญบารมีธรรม ๑๐.
บทว่า กนฺตารํ สมติกฺกมิ ได้แก่ ก้าวล่วงชาติกันดาร.
บทว่า ปวาหิย แปลว่า ลอยแล้ว.
บทว่า มลํ สพฺพํ ได้แก่ มลทิน ๓ มีราคะเป็นต้น.
บทว่า ปาฏิหีรํ กโรนฺเต จ ปรวาทปฺปมทฺทเน ความว่า
เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงทำปาฏิหาริย์ในการย่ำยีวาทะของฝ่ายปรปักษ์.
บทว่า วิกุพฺพนํ ได้แก่ แสดงฤทธิ์ต่าง ๆ.
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทำยมกปาฏิหาริย์ ใกล้ประตูกรุงสุนทรนคร
แล้วเสด็จไปเทวโลก จำพรรษาเหนือพระแท่นปัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ในเทวโลกนั้น.
ถามว่า ทรงจำพรรษาอย่างไร
ตอบว่า ทรงแสดงอภิธรรม ๗ คัมภีร์.
อธิบายว่า ทรงอยู่จำพรรษา แสดงพระอภิธรรมปิฏก ๗ คัมภีร์
แก่เทวดาทั้งหลายในเทวโลกนั้น
เมื่อพระผู้มีพระ-ภาคเจ้าทรงแสดงพระอภิธรรม ณ ที่นั้นอย่างนี้ อภิสมัยได้มีแก่เทวดาหมื่นโกฏิ.
แม้พระโกนาคมนพุทธเจ้า ผู้มาบำเพ็ญบารมีอันบริสุทธิ์
มีสาวกสันนิบาตครั้งเดียว.
พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อประทับอยู่ ณ สุรินทวดีอุทยาน กรุงสุรินทวดี
ทรงแสดงธรรมโปรดพระราชโอรสสองพระองค์คือ ภิยโยสราชโอรส และอุตตรราชโอรส พร้อมทั้งบริวาร
ทรงยังชนเหล่านั้นทั้งหมดให้บวชด้วยเอหิภิกขุบรรพชา
ประทับท่ามกลางภิกษุเหล่านั้น
ทรงยกปาติโมกข์ขึ้นแสดง ณ วันมาฆบูรณมี.
ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
พระโกนาคมนพุทธเจ้า ผู้เป็นเทพแห่งเทพ
พระองค์นั้น ทรงมีสันนิบาตประชุมพระสาวกขีณาสพ
ผู้ไร้มลทิน มีจิตสงบ คงที่ ครั้งเดียว.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 662
ครั้งนั้น เป็นสันนิบาตประชุมภิกษุสาวกสาม-
หมื่น ผู้ข้ามพ้นโอฆะ ผู้หักรานมัจจุได้แล้ว.
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น
บทว่า โอฆานํ ได้แก่ โอฆะมีกาโมฆะเป็นต้น
คำนี้เป็นซึ่งของโอฆะ ๔. โอฆะเหล่านั้นของผู้ใดมีอยู่.
ย่อมคร่าผู้นั้นให้จมลงในวัฏฏะ
เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่า โอฆะ.
โอฆะเหล่านั้น พึงเห็นฉัฏฐีวิภัตติ
ลงในอรรถทุติยาวิภัตติ ความว่า ผู้ก้าวล่วงโอฆะ ๔ อย่าง
แม้ในคำว่า ภิชฺชิตานํ นี้ ก็มีนัยอย่างนี้เหมือนกัน.
บทว่า มจฺจุยา ก็คือ มจฺจุโน.
ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์ของเรา
เป็นพระราชาพระนามว่า พระเจ้าปัพพตะ กรุงมิถิลนคร.
ครั้งนั้น พระราชาพร้อมทั้งราชบริพาร ทรงสดับ
ข่าวว่า พระโกนาคมนะพุทธเจ้า ผู้เป็นที่มาแห่งสรรพสัตว์ผู้ถึงสรณะ
เสด็จถึงกรุงมิถิลนครแล้ว จึงเสด็จออกไปรับเสด็จ ถวายบังคมนิมนต์พระทศพลถวาย
มหาทาน ทูลวิงวอนพระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับจำพรรษา ณ มิถิลนครนั้น
บำรุงพระศาสดาพร้อมทั้งพระสงฆ์สาวกตลอดไตรมาส
ถวายของมีค่ามากเช่น
ผ้าไหมทำในเมืองปัตตุณณะ ผ้าทำในเมืองเมืองจีน ผ้ากัมพล ผ้าแพร ผ้าเปลือก
ไม้ ผ้าฝ้ายเป็นต้น ผ้าเนื้อละเอียด ฉลองพระบาทประดับทอง และบริขารอื่น
เป็นอันมาก พระผู้มีพระภาคเจ้าแม้พระองค์นั้น ก็ทรงพยากรณ์พระโพธิสัตว์นั้น
ว่า ในภัทรกัปนี้นี่แล ท่านผู้นี้จักเป็นพระพุทธเจ้า. ลำดับนั้นมหาบุรุษนั้นสดับ
คำพยากรณ์ของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ก็ทรงบริจาคราชสมบัติยิ่งใหญ่
ทรงผนวชในสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น
ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 663
สมัยนั้น เราเป็นกษัตริย์นามว่า ปัพพตะ
พรั่งพร้อมด้วยมิตรอำมาตย์ มีกำลังพลและพาหนะหาที่สุดมิได้.
เข้าไปเฝ้าพระสัมพุทธเจ้า สดับธรรมอันยอดเยี่ยม
นิมนต์ พระองค์พร้อมทั้งพระสงฆ์พุทธชิโนรส ถวายทานจนพอต้องการ.
ได้ถวายผ้าไหมทำในเมืองปัตตุณณะ ผ้าทำใน
เมืองจีน ผ้าแพร ผ้ากัมพล ฉลองพระบาทประดับทองแด่พระศาสดาและพระสาวก.
พระพุทธเจ้าแม้พระองค์นั้น
ประทับนั่ง ณ ท่ามกลางสงฆ์ ทรงพยากรณ์เราว่า
ในภัทรกัปนี้ ท่านผู้นี้จักเป็นพระพุทธเจ้า.
พระตถาคต ออกอภิเนษกรมณ์จากกรุงกบิลพัสดุ์
อันน่ารื่นรมย์ ฯ ล ฯ จักอยู่ต่อหน้าของท่านผู้นี้.
เราสดับคำของพระองค์แล้ว จิตก็ยิ่งเลื่อมใส จึง
อธิษฐานข้อวัตรยิ่งยวดขึ้นไป เพื่อบำเพ็ญบารมี ๑๐ ให้บริบูรณ์.
เรากำลังแสวงหาพระสัพพัญญุตญาณ
ถวายทานแด่พระผู้สูงสุดในนรชน สละราชสมบัติยิ่งใหญ่
บวชในสำนักของพระชินพุทธเจ้า.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 664
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น
บทว่า อนนฺตพลวาหโน ความว่า กำลังพลและพาหนะ มีช้างม้าเป็นต้นของเรามีมากไม่มีที่สุด.
บทว่า สมฺพุทฺธทสฺสนํก็คือ สมฺพุทฺธทสฺสนตฺถาย เพื่อเฝ้าพระสัมพุทธเจ้า.
บทว่า ยทิจฺฉกํ ความว่า จนพอแก่ความต้องการ คือ ทรงเลี้ยงดูพระสงฆ์
มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน ด้วยอาหาร ๔ อย่าง
จนทรงห้ามว่า พอ ! พอ ! เอาพระหัตถ์ปิดบาตร
บทว่า สตฺถุสาวเก ได้แก่ ถวายแด่พระศาสดาและพระสาวกทั้งหลาย.
บทว่า นรุตฺตเม ก็คือ นรุตฺตมสฺส แด่พระผู้สูงสุดในนรชน.
บทว่า โอหายได้แก่ ละ เสียสละ.
พระผู้มีพระภาคเจ้าโกนาคมน พระองค์นั้น
ทรงมีพระนครชื่อว่าโสภวดี
พระชนกเป็นพราหมณ์ชื่อว่า ยัญญทัตตะ
พระชนนีเป็นพราหมณีชื่อว่า อุตตรา
คู่พระอัครสาวกชื่อว่า พระภิยโยสะ และพระอุตตระ
พระพุทธอุปัฏฐากชื่อว่า พระโสตถิชะ
คู่พระอัครสาวิกาชื่อว่า พระสมุททา และพระอุตตรา
โพธิพฤกษ์ชื่อว่า ต้นอุทุมพร
พระสรีระสูง ๓๐ ศอก
พระชนมายุสามหมื่นปี
ภริยาเป็นพราหมณีชื่อ รุจิคัตตา
โอรสชื่อ พระสัตถวาหะ
ออกอภิเนษกรมณ์ด้วยยานคือ ช้าง
ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
พระนครชื่อว่า โสภวดี
มีกษัตริย์พระนามว่า โสภะ
ตระกูลของพระสัมพุทธเจ้าเป็นตระกูลใหญ่อยู่ในนครนั้น.
พระโกนาคมนพุทธเจ้า ผู้เป็นพระศาสดา
มีพระชนกเป็นพราหมณ์ชื่อว่า ยัญญทัตตะ
พระชนนีเป็นพราหมณ์ ชื่อว่าอุตตรา.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 665
พระโกนาคมนศาสดา
มีพระอัครสาวกชื่อว่า พระภิยโยสะและพระอุตตระ
พระพุทธอุปัฏฐากชื่อว่า พระโสตถิชะ.
พระอัครสาวิกา ชื่อว่าพระสมุททา และพระอุตตรา
โพธิพฤกษ์ของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นเรียกว่า ต้นอุทุมพร
พระพุทธเจ้าพระองค์นั้น สูง ๓๐ ศอก
ประดับด้วยพระรัศมีทั้งหลาย เหมือนทองในเบ้าช่างทอง.
ในยุคนั้น
พระชนมายุของพระพุทธเจ้าสามหมื่นปี
พระองค์ทรงพระชนม์ยืนถึงเพียงนั้น จึงยังหมู่ชนเป็นอันมากให้ข้ามโอฆะ.
พระองค์ทั้งพระสาวก ทรงยกธรรมเจดีย์อันประดับด้วยผ้าธรรม
ทรงทำเป็นพวงมาลัยดอกไม้ธรรมแล้วดับขันธปรินิพพานแล้ว.
พระสาวกของพระองค์พิลาสฤทธิ์ยิ่งใหญ่
พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้ประกาศธรรมอันเป็นสิริ ทั้งนั้น
ก็อันตรธานไปสิ้น สังขารทั้งปวงก็ว่างเปล่า แน่แท้.
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น
บทว่า อุกฺกามุเข ได้แก่ เตาของช่างทอง.
บทว่า ยถา กมฺพ ก็คือ สุวณิณนิกฺขํ วิย เหมือนแท่งทอง.
บทว่า เอวํ รํสีหิ มณฺฑิโต ได้แก่ ประดับตกแต่งด้วยรัศมีทั้งหลายอย่างนี้.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 666
บทว่า ธมฺมเจติยํ สมุสฺเสตฺวา ได้แก่ ประดิษฐานพระเจดีย์สำเร็จด้วยโพธิปักขิยธรรม ๓๗.
บทว่า ธมฺมทุสฺสวิภูสิตํ ได้แก่ ประดับด้วยธงธรรมคือสัจจะ ๔.
บทว่า ธมฺมปุปฺผคุฬํ กตฺวา ได้แก่ ทำให้เป็นพวงมาลัยดอกไม้สำเร็จด้วยธรรม.
อธิบายว่า พระศาสดาพร้อมทั้งพระสงฆ์สาวก
โปรดให้ประดิษฐานพระธรรมเจดีย์ เพื่อมหาชนที่อยู่ ณ ลานพระเจดีย์
สำหรับบำเพ็ญวิปัสสนา จะได้นมัสการ แล้วก็เสด็จดับขันธปรินิพพาน.
บทว่า มหาวิลาโส ได้แก่ ผู้ถึงความพิลาสแห่งฤทธิ์ยิ่งใหญ่.
บทว่า ตสฺส ได้แก่ ของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น.
บทว่า ชโน ได้แก่ ชน คือ พระสาวก.
บทว่า สิริธมฺมปฺปกาสโน ความว่า และพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ประกาศ
โลกุตรธรรม พระองค์นั้น ทั้งนั้นก็อันตรธานไปสิ้น.
ในคาถาที่เหลือทุกแห่ง คำชัดแล้วทั้งนั้นแล.
สุเขน โกนาคมโน คตาสโว
วิกามปาณาคมโน มเหสี
วเน วิเวเก สิรินามเธยฺเย
วิสุทฺธวํสาคมโน วสิตฺถ.
พระโกนาคมนพุทธเจ้า
ทรงมีอาสวะไปแล้วโดยสะดวก
ผู้เป็นที่มาแห่งสัตว์ผู้ปราศจากกาม
ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่
ผู้เป็นที่มาแห่งวงศ์ของพระผู้บริสุทธิ์ ประทับอยู่ ณ ป่าอันมีนามเป็นสิริ อันสงัด.
จบพรรณนาวงศ์พระโกนาคมนพุทธเจ้า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 667