วงศ์ พระกัสสปพุทธเจ้าที่ ๒๔ - คุยได้ฟังดีกับบรรดาสมาชิกวัด - กระดานสนทนาธรรม
กระดานสนทนาธรรม

ที่พักสงฆ์ป่าสามแยก บ้านห้วยยางทอง ต.วังกวาง อ.น้ำหนาว จ.เพชรบูรณ์ 67260


วงศ์ พระกัสสปพุทธเจ้าที่ ๒๔

วงศ์ พระกัสสปพุทธเจ้าที่ ๒๔
« เมื่อ: กันยายน 03, 2024, 02:17:43 PM »

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 667
๒๔. วงศ์พระกัสสปพุทธเจ้าที่ ๒๔
ว่าด้วยพระประวัติของพระกัสสปพุทธเจ้า
[๒๕] ต่อมาจากสมัยของ พระโกนาคมนพุทธเจ้า
ก็มีพระสัมพุทธเจ้าพระนามว่า กัสสปะ ผู้สูงสุดแห่งสัตว์สองเท้า
จอมทัพธรรม ผู้ทำพระรัศมี.
เรือนของตระกูล มีข้าวนำโภชนะมาก ก็สลัดทิ้งแล้ว
ให้ทานแก่พวกยาจก ยังใจให้เต็มแล้วทำลาย
เครื่องผูกพันดังคอก เหมือนโคอุสภะพังคอกฉะนั้น
ก็บรรลุพระสัมโพธิญาณสูงสุด.

เมื่อพระกัสสปพุทธเจ้า ผู้นำโลก
ทรงประกาศพระธรรมจักร อภิสมัยครั้งที่ ๑ ก็ได้มีแก่ สัตว์สองหมื่นโกฏิ.
ครั้งพระพุทธเจ้าเสด็จจาริกในเทวโลก ๔ เดือน อภิสมัยครั้งที่ ๒ ได้มีแก่ ตัวหนึ่งหมื่นโกฏิ.
ครั้งทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์ ประกาศพระสัพพัญญุตญาณ อภิสมัยครั้งที่ ๓ ได้มีแก่ สัตว์ห้าพันโกฏิ.

พระชินพุทธเจ้าประทับนั่ง ณ สภา ชื่อ สุธรรมา
ณ ดาวดึงส์เทวโลกทรงประกาศพระอภิธรรม
ทรงยังเทวดา สามพันโกฏิ ให้ตรัสรู้.

อีกครั้งหนึ่ง
ทรงแสดงธรรมโปรดนรเทวยักษ์ อภิสมัยของสัตว์เหล่านั้น นับจำนวนไม่ถ้วน.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 668
พระผู้เป็นเทพแห่งเทพพระองค์นั้น
ทรงมีสันนิบาต ประชุมพระสาวกขีณาสพผู้ไร้มลทิน มีจิตสงบคงที่ ครั้งเดียว.
ครั้งนั้น เป็นสันนิบาตประชุมพระภิกษุสาวกสองหมื่น
ผู้เป็นพระขีณาสพล่วงภพ เสมอกันด้วยหิริและศีล.

ครั้งนั้น เราเป็นมาณพ ปรากฏชื่อว่า โชติปาละ ผู้คงแก่เรียน
ทรงมนต์ จบไตรเพท ถึงฝั่งในลัทธิธรรมของตน ในลักษณศาสตร์ และ อิติหาสศาสตร์
ฉลาดรู้พื้นดินและอากาศ สำเร็จวิชาอย่างสมบูรณ์.
อุปัฏฐากของพระผู้มีพระภาคเจ้ากัสสปะ ชื่อว่า ฆฏิการะ ผู้น่าเคารพ น่ายำเกรง
อันพระองค์ทรงแนะนำในอริยผลที่ ๓ [อนาคามีผล]
ท่านฆฏิการอุบาสก พาเราเข้าเฝ้าพระกัสสปชินพุทธเจ้า
เราฟังธรรมแล้วก็บวชในสำนักของพระองค์.
เราเป็นผู้ปรารภความเพียร ฉลาดในข้อวัตรน้อยใหญ่ไม่เสื่อมคลาย
ไม่ว่าในคุณข้อไหนๆ ยังคำสั่งสอนของพระชินพุทธเจ้าให้บริบูรณ์อยู่.

เราเล่าเรียนนวังคสัตถุศาสน์ พุทธวจนะตลอดทั้งหมด
ยังพระศาสนาของพระชินพุทธเจ้าให้งามแล้ว.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 669
พระพุทธเจ้าแม้พระองค์นั้น
ทรงเห็นความอัศจรรย์ของเรา
ก็ทรงพยากรณ์ว่า ในภัทรกัปนี้ ท่านผู้นี้จักเป็นพระพุทธเจ้า.

พระตถาคต ออกอภิเนษกรมณ์จากกรุงกบิลพัสดุ์
อันน่ารื่นรมย์ ตั้งความเพียร ทำทุกกรกิริยา.
พระตถาคตประทับนั่ง ณ โคนต้นอชปาลนิโครธ
รับข้าวมธุปายาส ณ ที่นั้นแล้วเสด็จเข้าไปยังแม่น้ำเนรัญชรา.

พระชินเจ้าพระองค์นั้น เสวยข้าวมธุปายาสที่ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา
เสด็จดำเนินตามทางอันดีที่เขาจัดแต่งไว้ เข้าไปที่โคนโพธิพฤกษ์.

แต่นั้น พระผู้มีพระยศยิ่งใหญ่
ทรงทำประทักษิณโพธิมัณฑสถานอันยอดเยี่ยม
ตรัสรู้ ณ โคนโพธิพฤกษ์ชื่อต้นอัสสัตถะ.

ท่านผู้นี้ จักมี
พระชนนีพระนามว่า พระนางมายา
พระชนกพระนามว่า พระเจ้าสุทโธทนะ
ท่านผู้นี้จักมีพระนามว่า โคตมะ.
จักมีพระอัครสาวกชื่อว่าพระโกลิตะ และพระอุปติสสะ
ผู้ไม่มีอาสวะ ปราศจากราคะ มีจิตสงบตั้งมั่น
พระพุทธอุปัฏฐากชื่อว่าพระอานันทะ จักบำรุงพระชินเจ้าผู้นี้.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 670
จักมีพระอัครสาวิกา ชื่อ พระเขมา และพระอุบลวรรณา
ผู้ไม่มีอาสวะ ปราศจากราคะ มีจิตสงบตั้งมั่น
โพธิพฤกษ์ของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นเรียกว่า ต้นอัสสัตถะ.
จักมีอัครอุปัฏฐาก ชื่อว่าจิตตะ และหัตถกะอาฬวกะ
อัครอุปัฏฐายิกา ชื่อว่านันทมาตาและอุตตรา
พระโคตมะผู้มีพระยศ จักมีพระชนมายุ ๑๐๐ ปี.
มนุษย์แลเทวดาทั้งหลาย ฟังพระดำรัสนี้ของพระผู้ไม่มีผู้เสมอ
ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่แล้ว ก็ปลาบปลื้มใจว่า ท่านผู้นี้เป็นหน่อพุทธางกูร.
หมื่นโลกธาตุ ทั้งเทวดา พากันโห่ร้องปรบมือ
หัวร่อร่าเริง ประคองอัญชลีนมัสการ กล่าวว่า
ผิว่า พวกเราจักพลาดพระศาสนาของพระโลกนาถพระองค์นี้ไซร้
ในอนาคตกาล พวกเราก็จักอยู่ต่อหน้าของท่านผู้นี้.

มนุษย์ทั้งหลาย เมื่อข้ามแม่น้ำ พลาดท่าน้ำข้างหน้า ก็ถือเอาท่าน้ำข้างหลัง ข้ามแม่น้ำใหญ่ ฉันใด.
พวกเราทั้งหมด ผิว่า ผ่านพ้นพระชินพุทธเจ้าพระองค์นี้ไซร้
ในอนาคตกาล พวกเราก็จักอยู่ต่อหน้าของท่านผู้นี้ ฉันนั้นเหมือนกัน.
เราฟังพระดำรัสของพระองค์แล้ว จิตก็ก็ยิ่งเลื่อมใส
จึงอธิษฐานข้อวัตรยิ่งยวดขึ้นไป เพื่อบำเพ็ญบารมี ๑๐ ให้บริบูรณ์.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 671
เราท่องเที่ยวไปอย่างนี้ เว้นเด็ดขาดจากการอนาจารเราทำแต่กิจกรรมที่ทำได้ยาก
ก็เพราะเหตุอยากได้พระโพธิญาณอย่างเดียว.
พระนคร ชื่อว่า พาราณสี
มีกษัตริย์พระนามว่า พระเจ้ากีกิ
ตระกูลของพระกัสสปพุทธเจ้าเป็นตระกูลใหญ่ อยู่ในพระนครนั้น.

พระกัสสปพุทธเจ้า ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่
มีพระชนกเป็นพราหมณ์ชื่อว่า พรหมทัตตะ
พระชนนีเป็นพราหมณีชื่อว่า ธนวดี.
พระองค์ครองฆราวาสวิสัยอยู่ สองพันปี
มีปราสาทชั้นเยี่ยม ๓ หลัง ชื่อว่าหังสะ ยสะ และ สิริจันทะ
มีนางบำเรอสี่หมื่นแปดพันนาง
มีพระนางสุนันทาเป็นประมุข
มีพระราชบุตรพระนามว่า วิชิตเสนะ.

พระผู้สูงสุดในบุรุษ
ทรงเห็นนิมิต ๔
ออกอภิเนษกรมณ์ด้วยปราสาท
ทรงบำเพ็ญเพียร ๗ วัน.

พระมหาวีระกัสสปะ
ผู้นำโลก
สูงสุดในนรชนอันท้าวมหาพรหมอาราธนาแล้ว
ทรงประกาศพระธรรมจักร ณ มิคทายวัน.

พระกัสสปพุทธเจ้า ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่
มีพระอัครสาวก ชื่อว่า พระติสสะ และพระภารทวาชะ
พุทธอุปัฏฐาก ชื่อว่า พระสัพพมิตตะ.
มีพระอัครสาวิกา ชื่อว่า พระอนุลา และพระอุรุเวลา
โพธิพฤกษ์ของพระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์นั้นเรียกว่าต้นนิโครธ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 672
มีอัครอุปัฏฐากชื่อว่า สุมังคละและฆฏิการะ
มีอัครอุปัฏฐายิกา ชื่อว่าวิชิตเสนา และภัททา.
พระพุทธเจ้าพระองค์นั้น สูง ๒๐ ศอก
เหมือนสายฟ้าแลบในอากาศ เหมือนดวงจันทร์ทรงกลด.

พระองค์ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่
มีพระชนมายุสองหมื่นปี
พระองค์มีพระชนม์ยืนถึงเพียงนั้น จึงยังหมู่ชนเป็นอันมากให้ข้ามโอฆะ.
พระองค์ ทรงสร้างสระธรรม ประทานศีลเป็นเครื่องลูบไล้
ทรงนุ่งผ้าธรรม แจกจ่ายพวงมาลัยธรรม.
ทรงตั้งธรรมอันใสสะอาดเป็นกระจกแก่มหาชน
คนเหล่าใดเหล่าหนึ่ง ปรารถนาพระนิพพานก็จักดูเครื่องประดับของเรา.
ประทานศีลเป็นเสื้อ ฌานเป็นเกราะหนัง ห่มธรรมเป็นหนัง [เสือ]
ประทานเกราะสวมอันสูงสุด.
ประทานสติเป็นโล่ ญาณเป็นหอกคมกริบ
ประทานธรรมเป็นพระขรรค์อย่างดี ศีลเป็นเครื่อง*ย่ำยีศัตรู.
ประทานวิชชา ๓ เป็นเครื่องประดับ ผล ๔ เป็นมาลัยคล้องคอ
ประทานอภิญญา ๖ เป็นอาภรณ์ ธรรมเป็นดอกไม้ประดับ.
๑. อ. สีลสํสคฺคฆทฺทนํ ศีลเป็นเครื่องย่ำยีความคลุกคลี
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 673
พระองค์ทั้งพระสาวก ประทานพระสัทธรรมเป็นเศวตฉัตรไว้ป้องกันบาป
ทรงเนรมิตดอกไม้คือทางอันไม่มีภัย แล้วก็ดับขันธปรินิพพาน.
นั่นคือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้มีพระคุณหาประมาณมิได้ อันใครเข้าเฝ้าได้ยาก.
นั่นคือพระธรรมรัตนะ ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว ควรเรียกให้มาดู.
นั่นคือพระสังฆรัตนะ ผู้ปฏิบัติดียอดเยี่ยมทั้งนั้นก็อันตรธานไปสิ้น
สังขารทั้งปวงก็ว่างเปล่า แน่แท้.

พระชินศาสดา มหากัสสปพุทธเจ้า
ดับขันธปรินิพพาน ณ พระวิหารเสตัพยาราม
ชินสถูปของพระองค์ ณ พระวิหารนั้น สูงหนึ่งโยชน์.
จบวงศ์พระกัสสปพุทธเจ้าที่ ๒๔
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 674
พรรณนาวงศ์พระกัสสปพุทธเจ้าที่ ๒๔
ภายหลังต่อมาจากสมัยพระผู้มีพระภาคเจ้า โกนาคามนะ
เมื่อพระศาสนาของพระองค์อันตรธานแล้ว
สัตว์ที่มีอายุสามหมื่นปี ก็เสื่อมลดลงโดยลำดับจนถึงมีอายุสิบปี
แล้วเจริญอีก จนมีอายุนับไม่ถ้วน แล้วก็เสื่อมลดลงอีกโดยลำดับ

เมื่อสัตว์เกิดมามีอายุสองหมื่นปี
พระศาสดาพระนามว่ากัสสปะ

ผู้ปกครองมนุษย์เป็นอันมาก ก็อุบัติขึ้นในโลก.
พระองค์ทรงบำเพ็ญบารมีทั้งหลาย แล้วบังเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต
จุติจากนั้นแล้ว ก็ถือปฏิสนธิในครรภ์ของพราหมณีชื่อว่าธนวดี
ผู้มีคุณไพบูลย์ ของพราหมณ์ชื่อว่าพรหมทัตตะ กรุงพาราณสี
ถ้วนกำหนดทศมาส ก็ตลอดออกจากครรภ์ชนนี ณ อิสิปตนะมิคทายวัน
แต่ญาติทรงหลายตั้งพระนามของพระองค์โดยโคตรว่า กัสสปกุมาร

พระองค์ครองฆราวาสวิสัยอยู่สองพันปี.
มีปราสาท ๓ หลังชื่อว่าหังสวา ยสวา และสิรินันทะ
ปรากฏมีนางบำเรอสี่หมื่นเเปดพันนาง
มีนางสุนันทาพราหมณี เกิดแล้ว
เมื่อบุตรชื่อ วิชิตเสนะ ของ นางสุนันทาพราหมณี เกิดแล้ว
พระองค์ทรงเห็นนิมิต ๔ เกิดความสังเวชสลดใจ
เมื่อระหว่างที่พระองค์ทรงดำริเท่านั้น
ปราสาทก็หมุนเหมือนจักรแห่งแป้นทำภาชนะดิน
ลอยขึ้นสู่ท้องนภากาศ อันคนหลายร้อยแวดล้อมแล้ว
ดุจดวงรัชนีกรในฤดูสารท ที่เป็นกลุ่มทำความงามอย่างยิ่งอันหมู่ดาวแวดล้อมแล้ว
ลอยไปประหนึ่งประดับท้องนภากาศ
ประหนึ่งประกาศบุญญานุภาพ
ประหนึ่งดึงดูดดวงตาดวงใจของชน
ประหนึ่งทำยอดไม้ทั้งหลายให้งามยิ่ง
เอาต้นโพธิ์พฤกษ์ชื่อนิโครธต้นไทรไว้ตรงกลาง
แล้วลงตั้งเหนือพื้นดิน

ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์ ผู้เป็นมหาสัตว์ทรงยืนที่แผ่นดิน
ทรงถือเอาผ้าธงชัยแห่งพระอรหัตที่เทวดาถวาย ทรงผนวชแล้ว
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 675
นางบำเรอของพระองค์ก็ลงจากปราสาท เดินทางไปครึ่งคาวุต
พร้อมด้วยบริวารจึงพากันนั่งกระทำให้เป็นดุจค่ายพักของกองทัพ.
แต่นั้น คนที่มาด้วยก็พากันบวชหมด เว้นนางบำเรอ.

ได้ยินว่า
พระมหาบุรุษ อันชนเหล่านั้นแวดล้อมแล้ว
ทรงบำเพ็ญเพียร ๗ วัน
ในวันวิสาขบูรณมี เสวยข้าวมธุปายาส ที่นางสุนันทาพราหมณีถวายแล้ว
ทรงพักกลางวัน ณ ป่าตะเคียน เวลาเย็น
ทรงรับหญ้า ๘ กำ ที่คนเฝ้าไร่ข้าวเหนียว ชื่อ โสมะ ถวาย
จึงเข้าไปยังโพธิพฤกษ์ชื่อต้นนิโครธ
ทรงลาดหญ้ากว้างยาว ๑๕ ศอก ประทับนั่งเหนือสันถัตนั้น
บรรลุพระอภิสัมโพธิญาณ
ทรงเปล่งพระอุทานว่า อเนกชาติสํสารํ ฯ ล ฯ ตณฺหานํขยมชฺฌคา ดังนี้

ทรงยับยั้งอยู่ ๗ สัปดาห์
ทรงเห็นอุปนิสัยสมบัติของภิกษุหนึ่งโกฏิ ซึ่งบวชกับพระองค์
เสด็จไปทางอากาศ ลงที่อิสิปตนะมิคทายวัน กรุงพาราณสี
อันภิกษุเหล่านั้นแวดล้อมแล้ว
ทรงประกาศพระธรรมจักร ณ อิสิปตนะมิคทายวันนั้น
ครั้งนั้น ธรรมาภิสมัยครั้งที่ ๑ ได้มีแก่สัตว์สองหมื่นโกฏิ
ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
ต่อมาจากสมัยของพระโกนาคมนพุทธเจ้า ก็มีพระสัมพุทธเจ้า พระนามว่า กัสสปะ
ผู้สูงสุดแห่งสัตว์สองเท้า ผู้เป็นราชาแห่งธรรม ผู้ทำพระรัศมี.
เรือนแห่งสกุล มีข้าวน้ำโภชนะ เป็นอันมาก
พระองค์ก็สละเสียแล้ว ทรงให้ทานแก่ยาจกทั้งหลายยังใจให้เต็มแล้ว
ทำลายเครื่องผูก ดุจโคอุสภะพังคอกฉะนั้น ทรงบรรลุพระสัมโพธิญาณอันอุดม.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 676
เมื่อพระกัสสปพุทธเจ้า ผู้นำโลก ทรงประกาศ
พระธรรมจักร อภิสมัยครั้งที่ ๑ ได้มีแก่สัตว์สองหมื่นโกฏิ.
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น
บทว่า สญฺฉฑฺฑิตํ ได้แก่ อันเขาละแล้ว ทิ้งแล้ว เสียสละแล้ว.
บทว่า กุลมูลํ ความว่า เรือนแห่งสกุล มีกองโภคะ
นับไม่ถ้วน มีกองทรัพย์หลายพันโกฏิ มีโภคะเสมือนภพท้าวสหัสสนัยน์ ที่
สละได้แสนยาก ก็สละได้เหมือนอย่างหญ้า.
บทว่า ยาจเก ได้แก่ ให้แก่ยาจกทั้งหลาย.
บทว่า อาฬกํ ได้แก่ คอกโค.
อธิบายว่า โคอุสภะพังคอกเสียแล้วก็ไปยังที่ปรารถนาได้ตามสบาย ฉันใด
แม้พระมหาบุรุษทำลายเครื่องผูกคือเรือนเสียแล้ว ก็ทรงบรรลุพระอภิสัมโพธิญาณได้ ฉันนั้น.

ต่อมาอีก
เมื่อพระศาสดาเสด็จจาริกไปในชนบท อภิสมัยครั้งที่ ๒ ได้มีแก่ สัตว์หนึ่งหมื่นโกฏิ
ครั้งพระองค์ทรงทำยมกปาฏิหาริย์ที่โคนต้นประดู่ ใกล้ประตูสุนทรนคร
ทรงแสดงธรรม อภิสมัยครั้งที่ ๓ ได้มีแก่ สัตว์ห้าพันโกฏิ

ต่อมาอีก
ทรงทำยมกปาฏิหาริย์แล้ว ประทับนั่ง ณ เทวสภาชื่อสุธัมมา
ในภพดาวดึงส์ ซึ่งยากนักที่ข้าศึกของเทวดาจะครอบงำได้
เมื่อทรงแสดงอภิธรรมปิฏก ๗ คัมภีร์
เพื่อทรงอนุเคราะห์เทวดาทั้งหลาย ในหมื่นโลกธาตุ
มีธนวดีชนนีของพระองค์เป็นประมุข
ทรงยังเทวดาสามพันโกฏิให้ดื่มอมฤตธรรม

ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
ครั้ง พระพุทธเจ้าเสด็จจาริกไปในโลก ๔ เดือน
อภิสมัยครั้งที่ ๒ ได้มีแก่ สัตว์หนึ่งหมื่นโกฏิ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 677
ครั้งทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์
ประกาศพระสัพพัญญุตญาณ อภิสมัยครั้งที่ ๓ ได้มีแก่เทวดาห้าพันโกฏิ.

พระชินพุทธเจ้า ประทับนั่ง ณ ธรรมสภา ชื่อสุธัมมา
ณ เทวโลกอันน่ารื่นรมย์ [ดาวดึงส์]
ทรงประกาศพระอภิธรรม ยังเทวดาสามพันโกฏิให้ตรัสรู้.
อีกครั้งทรงแสดงธรรมโปรดนรเทวยักษ์
อภิสมัยได้มีแก่ สัตว์เหล่านั้น นับจำนวนไม่ได้เลย.


แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น
บทว่า จตุมาสํ ก็คือ จาตุมาเส แปลว่า ๔ เดือน หรือปาฐะก็อย่างนี้เหมือนกัน.
บทว่า จรติ ก็คือ อจริ. แปลว่า ได้เสด็จจาริกไปแล้ว
บทว่า ยมกํ วิกุพฺพนํ กตฺวา ได้แก่ ทรงทำยมกปาฏิหาริย์.
บทว่า ญาณธาตุํ ได้แก่ สภาพของพระสัพพัญญุตญาณ อาจารย์
บางพวกกล่าวว่า สพฺพญาณธาตุํ ดังนี้ก็มี.
บทว่า ปกิตฺตยิ ได้แก่ ทรงประกาศแก่มหาชน.
บทว่า สุธมฺมา ความว่า สภาชื่อว่าสุธัมมา มีอยู่ในภพดาวดึงส์
พระองค์ประทับนั่ง ณ สภานั้น.
บทว่า ธมฺมํ ได้แก่ พระอภิธรรม.

เขาว่า ครั้งนั้น มียักษ์ชื่อว่า นรเทพ
ผู้เป็นนรเทพผู้มีอานุภาพและผู้พิชิต ซึ่งมีศักดิ์ใหญ่และฤทธิ์มาก
เหมือนนรเทพยักษ์ที่กล่าวมาแล้วแต่หนหลัง.
นรเทพยักษ์นั้น แปลงตัวเหมือนพระราชาในนครหนึ่งในชมพูทวีป
ทั้งรูปร่างทรวดทรงสุ้มเสียงท่วงที แล้วฆ่าพระราชาตัวจริงกินเสีย
ปฏิบัติหน้าที่พระราชาพร้อมทั้งในราชสำนัก โปรดเสวยเนื้อไม่จำกัดจำนวน.

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 678
เขาว่า นรเทวยักษ์นั้น เป็นนักเลงหญิงด้วย
แต่คราใดสตรีพวกที่ฉลาดเฉลียว รู้จักเขาว่า ผู้นี้ไม่ใช่พระราชาของเรา
นั่นอมนุษย์ผู้ฆ่าพระราชากินเสีย
ครานั้น เขาทำเป็นละอายกินสตรีพวกนั้นหมด แล้วก็เดินทางไปนครอื่น.
ด้วยประการดังนี้ นรเทวยักษ์นั้นกินมนุษย์แล้วก็มุ่งหน้าไปทางสุนทรนคร
พวกมนุษย์ชาวนครเห็นเขาถูกมรณภัยคุกคามก็สะดุ้งกลัว
พากันออกจากนครของตนหนีชมซานไป.

ครั้งนั้น พระกัสสปทศพล
ทรงเห็นพวกมนุษย์พากันหนีไป
ก็ประทับยืนประจันหน้านรเทวยักษ์นั้น
นรเทวยักษ์ครั้นเห็นพระเทพแห่งเทพยืนประจันหน้า
ก็แผดเสียงกัมปนาทดุดัน ร้ายกาจ แต่ไม่อาจให้พระผู้มีพระภาคเจ้าเกิดความกลัวได้
ก็ถึงพระองค์เป็นสรณะ แล้วทูลถามปัญหา
เมื่อพระองค์ทรงวิสัชนาปัญหา ทรงฝึกเขา แสดงธรรม
อภิสมัยก็ได้มีแก่มนุษย์และเทวดาที่มาประชุมกัน เกินที่จะนับจำนวนได้ถ้วน.
ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
นรเทวสฺส ยกฺขสฺส เป็นต้น. ในคาถานั้น
บทว่า อปเร ธมฺมเทสเน ได้แก่ ในการแสดงธรรมครั้งอื่นอีก.
บทว่า เอเตสานํ ก็คือ เอเตสํ.

พระผู้มีพระภาคเจ้ากัสสปะ พระองค์นั้น
มีสาวกสันนิบาตครั้งเดียวเท่านั้น.

มีบุตรปุโรหิตในกรุงพาราณสี ชื่อว่า ติสสะ
เขาเห็นลักษณะสมบัติในพระสรีระของ พระกัสสปโพธิสัตว์
 ฟังบิดาพูด ก็คิดว่า
ท่านผู้นี้จักออกมหาภิเนษกรมณ์เป็นพระพุทธเจ้า อย่างไม่ต้องสงสัย
จำเราจักบวชในสำนักของพระองค์พ้นจากสังสารทุกข์
จึงไปยังป่าหิมพานต์ที่มีหมู่มุนีผู้บริสุทธิ์ บวชเป็นดาบส.
เขามีดาบสสองหมื่นเป็นบริวาร.

ต่อมาภายหลัง
เขาทราบข่าวว่าพระกัสสปกุมาร
ออกอภิเนษกรมณ์บรรลุพระอภิสัมโพธิญาณ
จึงพร้อมด้วยบริวารมาบวชด้วยเอหิภิกขุบรรพชา
ในสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้ากัสสปะ แล้วบรรลุพระอรหัต.
พระผู้มีพระภาคเจ้ากัสสปะ ทรงยกปาติโมกข์ขึ้นแสดง
ในวันมาฆบูรณมีในสมาคมนั้น.
ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 679
พระผู้เป็นเทพแห่งเทพแม้พระองค์นั้น
ทรงมีสาวกสันนิบาต ประชุมพระสาวกขีณาสพผู้ไร้มลทินคงที่ ครั้งเดียว.
ครั้งนั้น เป็นสันนิบาตประชุมภิกษุสาวกของผู้เป็นพระขีณาสพ
ล่วงอริยบุคคลระดับอื่น เสมอกันด้วยหิริและศีล.

แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น
บทว่า อติกฺกนฺตภวนฺตานํ ได้แก่ ผู้เกินระดับปุถุชนและอริยบุคคลมีพระโสดาบันเป็นต้น
คือเป็นพระขีณาสพหมดทั้งนั้น.
บทว่า หิริสีเลน ตาทีนํ ได้แก่ ผู้เสมอกันด้วยหิริและศีล.

ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์ของเรา
เป็นมาณพชื่อ โชติปาละ จบไตรเพท
มีชื่อเสียงในการทำนายลักษณะพื้นดิน และลักษณะอากาศ
เป็นสหายของฆฏิการะอุบาสก ช่างหม้อ.
โชติปาลมาณพนั้น เข้าเฝ้าพระศาสดาพร้อมกับฆฏิการะอุบาสกนั้น
ฟังธรรมกถาของพระองค์แล้วก็บวชในสำนักของพระองค์

พระโพธิสัตว์นั้น ทรงปรารภความเพียร
เล่าเรียนพระไตรปิฎกแล้ว ยังพระพุทธศาสนาให้งามด้วยการปฏิบัติข้อวัตรใหญ่น้อย
พระศาสดาแม้พระองค์นั้นก็ทรงพยากรณ์พระโพธิสัตว์นั้น.
ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
ครั้งนั้น เราเป็นมาณพปรากฏชื่อว่า โชติปาละ
เป็นผู้คงแก่เรียน ทรงมนต์ จบไตรเพท.
ถึงฝั่งในลัทธิธรรมของตน ในลักษณศาสตร์และอิติหาสศาสตร์
ฉลาดในลักษณะพื้นดินและอากาศสำเร็จวิทยาอย่างสมบูรณ์.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 680
อุปัฏฐากของพระผู้มีพระภาคเจ้ากัสสปะชื่อว่า ฆฏิการะ
เป็นผู้น่าเคารพ น่ายำเกรง
อันพระกัสสปพุทธเจ้าทรงสั่งสอนในพระอริยผลที่ ๓ [อนาคามิผล].
ฆฏิการะอุบาสก พาเราเข้าไปเฝ้าพระกัสสปชินพุทธเจ้า
เราฟังธรรมของพระองค์แล้วก็บวชในสำนักของพระองค์.
เราปรารภความเพียร ฉลาดในข้อวัตรใหญ่น้อย
จึงไม่เสื่อมคลายในที่ไหนๆ ยังศาสนาของพระชินพุทธเจ้าให้เต็มแล้ว.
เราเล่าเรียนนวังคสัตถุศาสน์ อันเป็นพระพุทธดำรัสตลอดหมด
จึงยังพระศาสนาของพระชินพุทธเจ้าให้งาม.

พระพุทธเจ้าแม้พระองค์นั้น
ทรงเห็นความอัศจรรย์ของเรา
ก็ทรงพยากรณ์ว่า ในภัทรกัปนี้ ท่านผู้นี้จักเป็นพระพุทธเจ้า.
พระตถาคต ออกอภิเนษกรมณ์จากกรุงกบิลพัสดุ์อันน่ารื่นรมย์ ฯ ล ฯ จักอยู่ต่อหน้าของท่านผู้นี้.

เราฟังพระดำรัสของพระองค์แล้ว จิตก็ยิ่งเลื่อมใส
จึงอธิษฐานข้อวัตรยิ่งยวดขึ้นไป เพื่อบำเพ็ญบารมี ๑๐ ให้บริบูรณ์.
เราท่องเที่ยวอย่างนี้ เว้นขาดอนาจาร เราทำกิจกรรมที่ทำได้ยาก
เพราะเหตุแห่งพระโพธิญาณอย่างเดียว.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 681
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น
บทว่า ภูมนฺตลิกฺขกุสโล ความว่า เป็นผู้ฉลาด
ในวิชาสำรวจพื้นดิน วิชาดูลักษณะอากาศ วิชาดาราศาสตร์และวิชาโหราศาสตร์.
บทว่า อุปฏฺฐโก แปลว่า ผู้บำรุง.
บทว่า สปฺปติสฺโส ได้แก่ ผู้น่าเกรงขาม.
บทว่า นิพฺพุโต ได้แก่ อันทรงแนะนำแล้ว หรือปรากฏแล้ว.
บทว่า ตติเย ผเล เป็นนิมิตสัตตมี ความว่าอันทรงแนะนำแล้ว เพราะเหตุบรรลุอริยผลที่ ๓.
บทว่า อาทาย ได้แก่ พาเอา.
บทว่า วตฺตาวตฺเตสุ ได้แก่ ในข้อวัตรน้อยและข้อวัตรใหญ่.
บทว่า โกวิโท ได้แก่ ผู้ฉลาดในการยังข้อวัตรเหล่านั้นให้เต็ม.
ด้วยบทว่า น กฺวจิปริหายามิ
ทรงแสดงว่า เราไม่เสื่อมแม้ในที่ไหนๆ แม้แต่ในศีลหรือสมาธิ
สมาบัติเป็นต้นอย่างไหน ๆ ขึ้นชื่อว่า ความเสื่อมของเราในคุณทั้งปวง ไม่มีเลย.
ปาฐะว่า น โกจิ ปริหายามิ ดังนี้ก็มี ความก็อย่างนั้นเหมือนกัน.
คำว่า ยาวตา นั้น เป็นคำแสดงขั้นตอน.
ความว่า มีประมาณเพียงไร.
บทว่า พุทฺธภณิตํ ได้แก่ พระพุทธวจนะ.
บทว่า โสภยึ ได้แก่ ให้งามแล้ว ให้แจ่มแจ้งแล้ว.
บทว่า มม อจฺฉริยํ ความว่า พระผู้มี
พระภาคเจ้ากัสสปะ ทรงเห็นสัมมาปฏิบัติของเรา ไม่ทั่วไปกับคนอื่นๆ น่าอัศจรรย์ไม่เคยมี.
บทว่า สํสริตฺวา ได้แก่ ท่องเที่ยวไปในสังสารวัฏ.
บทว่า อนาจรํ ได้แก่ อนาจารที่ไม่พึงทำ ไม่ควรทำ.

ก็พระผู้มีพระภาคเจ้ากัสสปะ พระองค์นั้น
ทรงมีนครเกิดชื่อว่า พาราณสี
มีชนกเป็นพราหมณ์ชื่อว่า พรหมทัตตะ
มีชนนีเป็นพราหมณีชื่อว่า ธนวดี
มีคู่พระอัครสาวกชื่อว่า พระติสสะและพระภารทวาชะ
มีพุทธอุปัฏฐากชื่อว่า พระสัพพมิตตะ
มีคู่พระอัครสาวิกาชื่อว่า พระอนุฬาและอุรุเวฬา
โพธิพฤกษ์ชื่อว่า นิโครธ ต้นไทร
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 682
พระสรีระสูง ๒ ศอก
พระชนมายุสองหมื่นปี
ภริยาชื่อว่า สุนันทา
บุตรชื่อ วิชิตเสนะ
ออกอภิเนษกรมณ์ด้วยยานคือปราสาท.

ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
มีนคร ชื่อว่าพาราณสี
มีกษัตริย์พระนามว่า กิกี
ตระกูลของพระสัมพุทธเจ้าเป็นตระกูลใหญ่ อยู่ในพระนครนั้น.

พระกัสสปพุทธเจ้า ผู้แสวงหาคุณยิ่งใหญ่
มีชนกเป็นพราหมณ์ ชื่อว่าพรหมทัตตะ
มีชนนีเป็นพราหมณ์ชื่อว่า ธนวดี.

พระกัสสปพุทธเจ้า ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่
มีพระอัครสาวก ชื่อว่าพระติสสะ และพระภารทวาชะ
มีพุทธอุปัฏฐากชื่อว่า พระสัพพมิตตะ.
มีอัครสาวกา ชื่อพระอนุฬา และ พระอุรุเวฬา
โพธิพฤกษ์ของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น เรียกว่า ต้นนิโครธ.
มีอัครอุปัฏฐาก ชื่อว่าสุมังคละ และ ฆฏิการะ
มีอัครอุปัฏฐายิกา ชื่อว่าวิชิตเสนา และภัททา.
พระพุทธเจ้าพระองค์นั้น สูง ๒๐ ศอก เหมือนสายฟ้าอยู่กลางอากาศ เหมือนจันทร์เพ็ญทรงกลด.

พระกัสสปพุทธเจ้า ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่พระองค์นั้น
มีพระชนมายุสองหมื่นปี
พระองค์ทรงมีพระชนม์ยืนถึงเพียงนั้น
จึงยังหมู่ชนเป็นอันมากให้ข้ามโอฆะ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 683
ทรงสร้างสระคือธรรม ประทานเครื่องลูบไล้คือศีล
ทรงนุ่งผ้าคือธรรม ทรงแจกมาลัยคือธรรม.
ทรงวางธรรมอันใสไร้มลทิน ต่างกระจก ไว้ในมหาชน
บางพวกปรารถนาพระนิพพาน ก็จงดูเครื่องประดับของเรา.
ประทานเสื้อคือศีล ผูกสอดเกราะ คือฌาน ห่มหนังคือธรรม
ประทานเกราะชั้นเยี่ยม.
ประทานสติเป็นโล่ ประทานธรรมเป็นพระขรรค์อย่างดี ศีลเป็นเครื่องย่ำยีการคลุกคลี.
ประทานวิชชา ๓ เป็นเครื่องประดับ ผลทั้ง ๓เป็นมาลัยสวมศีรษะ
ประทานอภิญญา ๖ เป็นอาภรณ์ธรรมเป็นดอกไม้เครื่องประดับ.

พระองค์ทั้งพระสาวก
ประทานพระสัทธรรมเป็นฉัตรขาว กั้นบาป
เนรมิตดอกไม้ คือทางที่ไม่มีภัยแล้ว ก็ดับขันธปรินิพพาน.
ก็นั่น คือพระสัมมาสัมพุทธะ ผู้มีพระคุณหาประมาณมิได้
อันใครเข้าเฝ้าได้ยาก นั่นคือพระธรรม.
รัตนะที่พระองค์ตรัสไว้ดีแล้ว ควรเรียกให้มาดู.
นั่นคือพระสังฆรัตนะ ผู้ปฏิบัติดียอดเยี่ยม
ทั้งนั้นก็อันตรธานไปสิ้น สังขารทั้งปวง ก็ว่างเปล่าแน่แท้.

แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น
บทว่า วิชฺชุลฏฺฐีว ได้แก่ ดุจสายฟ้าแลบอันตั้งอยู่ โดยเป็นของทึบ.
บทว่า จนฺโทว คหปูริโต ได้แก่ ดุจดวงจันทร์เพ็ญอันทรงกลดแล้ว.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 684
บทว่า ธมฺมตฬากํ มาปยิตฺวา ทรงสร้างสระคือพระปริยัติธรรม.
บทว่า ธมฺมํ ทตฺวา วิเลปนํ ได้แก่ ประทานเครื่องลูบไล้ เพื่อประดับสันตติแห่งจิต
กล่าวคือจตุปาริสุทธิศีล.
บทว่า ธมฺมทุสฺสํ นิวาเสตฺวา ได้แก่ นุ่งผ้าคู่ กล่าวคือธรรม คือหิริ และโอตตัปปะ.
บทว่า ธมฺมมาลํ วิภชฺชิย ได้แก่ จำแนก คือเปิดพวงมาลัยดอกไม้คือ โพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการ.
บทว่า ธมฺมวิมลมาทาสํ ความว่า วางกระจก กล่าวคือโสดาปัตติมรรคอันไร้มลทิน
คือกระจกธรรมใกล้ริมสระธรรมสำหรับมหาชน
เพื่อกำหนดธรรมที่มีโทษและไม่มีโทษที่เป็นกุศลและอกุศล.
บทว่า มหาชเน แปลว่า แก่มหาชน.
บทว่า เกจิ ก็คือ เยเกจิ.
บทว่า นิพฺพานํ ปตฺเถนฺตา ความว่า เที่ยวปรารถนาพระนิพพาน
อันกระทำความย่อยยับแก่มลทินคืออกุศลทั้งมวล อันไม่ตาย
ปัจจัยปรุงแต่งมิได้ ไม่มีทุกข์ สงบอย่างยิ่งมีอันไม่จุติเป็นรส
ชนเหล่านั้นจงดูเครื่องประดับนี้ มีประการที่กล่าวแล้วอันเราแสดงแล้ว.
ปาฐะว่า นิพฺพานมภิปตฺเถนฺตา ปสฺสนฺตุ มํ อลงฺกรํ ดังนี้ก็มีความก็อย่างนั้นเหมือนกัน.
บทว่า อลงฺกรํ ท่านทำรัสสะ กล่าว.
บทว่า สีลกญฺจุกํ ทตฺวาน ได้แก่ ประทานเสื้อที่สำเร็จด้วยศีล ๕ ศีล ๑๐ และจตุปาริสุทธิศีล.
บทว่า ฌานกวจวมฺมิตํ ได้แก่ ผูกเครื่องผูก คือเกราะ คือจตุกกฌานและปัญจกฌาน.
บทว่า ธมฺมจมฺมํ ปารุปิตฺวา ได้แก่ ห่มหนึ่งคือธรรมที่นับได้ว่าสติสัมปชัญญะ.
บทว่า ทตฺวา สนฺนาหนุตฺตมํ ความว่า ประทานเครื่องผูกสอดคือวิริยะ ที่ประกอบด้วยองค์ ๔ อันสูงสุด.
บทว่า สติผลกํ ทตฺวาน ได้แก่ ประทานเครื่องป้องกันคือโล่
คือสติปัฏฐาน ๔ เพื่อป้องกันโทษอริและบาปมีราคะเป็นต้น.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 685
บทว่า ติขิณํญาณกุนฺติมํ ได้แก่ หอกคือวิปัสสนาญาณอันคมกริบ คือหอกคมอย่างดีคือ
วิปัสสนาญาณ ที่สามารถแทงตลอดได้.
หรือความว่า ทรงตั้งนักรบคือพระโยคาวจร ที่สามารถทำการกำจัดกองกำลังคือ กิเลสได้.
บทว่า ธมฺมขคฺควรํทตฺวา ได้แก่ ประทานพระขรรค์อย่างดีคือมรรคปัญญา ที่มีคมอันลับด้วยกลีบ
อุบลคือความเพียร แก่พระโยควาจรนั้น.
บทว่า สีลสํสคฺคมทฺทนํ ความว่า โลกุตรศีลอันเป็นอริยะ เพื่อย่ำยีการคลุกคลีด้วยกิเลสคือเพื่อฆ่ากิเลส.
บทว่า เตวิชฺชาภูสนํ ทตฺวาน ได้แก่ ประทานเครื่องประดับสำเร็จด้วยวิชชา ๓.
บทว่า อาเวฬํ จตุโร ผเล ได้แก่ ทำผล ถ ให้เป็นพวงมาลัยคล้องคอ.
บทว่า ฉฬภิญฺญาภรณํ ได้แก่ ประทานอภิญญา ๖ เพื่อเป็นอาภรณ์ และเพื่อกระทำการประดับ.
บทว่า ธมฺมปุปฺผปิลนฺธนํ ได้แก่ ทำพวงมาลัยดอกไม้ กล่าวคือโลกุตรธรรม ๙.
บทว่า สทฺธมฺมปุณฺฑรจฺฉตฺตํ ทตฺวา ปาปนิวารณํ ได้แก่ ประทานเศวตฉัตรคือวิมุตติอันบริสุทธิ์
สิ้นเชิง เป็นเครื่องกันแดดคืออกุศลทั้งปวง.
บทว่า มาปยิตฺวาภยํ ปุปฺผํ ความว่า ทำดอกไม้คือมรรคมีองค์ ๘ ที่ให้ถึงเมืองที่ไม่มีภัย.

ได้ยินว่า
พระผู้มีพระภาคเจ้ากัสสปะ ดับขันธปรินิพพาน ณ เสตัพยอุทยาน
ใกล้เสตัพยนคร แคว้นกาสี
เขาว่า พระบรมสารีริกธาตุของพระองค์ไม่กระจัดกระจายแพร่หลายไป.
มนุษย์ทั่วชมพูทวีป เมื่อสร้างใช้มโนสิลาหินอ่อนแทนดิน ใช้น้ำมันแทนน้ำ
เพื่อก่อภายนอกเป็นแผ่นอิฐทองแต่ละแผ่นมีค่าเป็นโกฏิ วิจิตรด้วยรัตนะ
เพื่อทำภายในให้เต็ม เป็นอิฐทองแต่ละแผ่น มีค่าครึ่งโกฏิ ช่วยกันสร้างเป็นสถูปสูงหนึ่งโยชน์.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 686
กสฺสโปปิ ภควา กตกิจฺโจ
สพฺพสตฺตหิตเมว กโรนฺโต
กาสิราชนคเร มิคทาเย โลกนนฺทนกโร นิวสิ.

แม้พระผู้มีพระภาคเจ้ากัสสป
เสด็จกิจแล้วทรงทำประโยชน์เกื้อกูลแก่สรรพสัตว์อย่างเดียว
ทรงทำความร่าเริงแก่โลก ประทับอยู่ประจำ ณ กรุงพาราณสีราชธานี แห่งแคว้นกาสีแล.
ในคาถาที่เหลือ ทุกแห่ง คำชัดแล้วทั้งนั้นแล.
จบพรรณนาวงศ์พระกัสสปพุทธเจ้า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 687




 

Sitemap 1 2 3 4 5 6 7 8 9