๒. วงศ์ พระโกณฑัญญพุทธเจ้าที่ ๒ - คุยได้ฟังดีกับบรรดาสมาชิกวัด - กระดานสนทนาธรรม
กระดานสนทนาธรรม

ที่พักสงฆ์ป่าสามแยก บ้านห้วยยางทอง ต.วังกวาง อ.น้ำหนาว จ.เพชรบูรณ์ 67260


๒. วงศ์ พระโกณฑัญญพุทธเจ้าที่ ๒

๒. วงศ์ พระโกณฑัญญพุทธเจ้าที่ ๒
« เมื่อ: มิถุนายน 10, 2024, 08:59:07 PM »

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 306
๒. วงศ์ พระโกณฑัญญพุทธเจ้าที่ ๒
ว่าด้วยพระประวัติของพระโกณฑัญญพุทธเจ้า
[๓] ต่อจากสมัยพระทีปังกรพุทธเจ้า

พระพุทธเจ้าพระนามว่า โกณฑัญญะ ผู้นำโลก
ผู้มีพระเดชไม่มีที่สุด มีพระยศนับไม่ได้ ผู้มีพระคุณหาประมาณมิได้ยากที่จะเข้าเฝ้า.
พระองค์ทรงมีพระขันติเปรียบด้วยแผ่นธรณี
ทรงมีศีล เปรียบด้วยสาคร
ทรงมีสมาธิเปรียบด้วยขุนเขาพระเมรุ
ทรงมีพระญาณเปรียบด้วยท้องนภากาศ.

ครั้งนั้น พระพุทธเจ้าทรงประกาศ
อินทรีย์ พละ โพชฌงค์และมรรคสัจ เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่สัตว์ทั้งปวง.

เมื่อพระโกณฑัญญพุทธเจ้า ผู้นำโลก
ทรงประกาศพระธรรมจักร ธรรมาภิสมัยการตรัสรู้ธรรม
ครั้งที่ ๑ ได้มีแก่ สัตว์แสนโกฏิ.
เมื่อทรงแสดงธรรมต่อ ๆ จากนั้น ในสมาคมของมนุษย์และเทวดาทั้งหลาย
ธรรมาภิสมัยครั้งที่ ๒ ได้มีแก่ สัตว์เก้าหมื่นโกฏิ.
สมัยเมื่อทรงข่มพวกเดียรถีย์แสดงธรรม
ธรรมาภิสมัยครั้งที่ ๓ ได้มีแก่ สัตว์แปดหมื่นโกฏิ.

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 307
พระโกณฑัญญพุทธเจ้า ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่
ทรงมีสันนิบาต ประชุมพระขีณาสพ ผู้ไร้มลทิน ผู้คงที่ ๓ ครั้ง. คือ
ครั้งที่ ๑ เป็นการประชุมพระขีณาสพจำนวนแสนโกฏิ
ครั้งที่ ๒ จำนวนเก้าหมื่นโกฏิ
ครั้งที่ ๓ จำนวนแปดหมื่นโกฏิ.

สมัยนั้น เราเป็นกษัตริย์นามว่า วิชิตาวี
ครอบครองอิสราธิปัตย์เหนือปฐพี มีมหาสมุทรเป็นขอบเขต.
เราเลี้ยงพระขีณาสพจำนวนแสนโกฏิ ผู้ไร้มลทิน
ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่ พร้อมด้วยพระโกณฑัญญพุทธเจ้า
ผู้เป็นนาถะเลิศแห่งโลก ให้อิ่มหนำสำราญด้วยอาหารอันประณีต.

พระโกณฑัญญพุทธเจ้า ผู้นำโลกพระองค์นั้น
ทรงพยากรณ์เราว่า
จักเป็นพระพุทธเจ้า ในกัปที่หาประมาณมิได้นับแต่กัปนี้.
ตถาคตจักออกอภิเนษกรมณ์จากกรุงกบิลพัศดุ์ที่น่ารื่นรมย์
ตั้งความเพียรทำทุกกรกิริยา นั่ง ณ โคนอัชปาลนิโครธ
รับข้าวมธุปายาส ณ ที่นั้นแล้ว จักเข้าไปยังแม่น้ำเนรัญชรา.
พระชินเจ้า เสวยข้าวมธุปายาส ณ ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา
จักเดินตามทางที่เขาตกแต่งดีแล้วเข้าไปที่โคนโพธิพฤกษ์.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 308
ต่อแต่นั้น
พระผู้มีพระยศใหญ่
จักทำประทักษิณโพธิมัณฑสถานอันยอดเยี่ยม

จักตรัสรู้ที่โคนโพธิพฤกษ์ ชื่อ อัสสัตถะ ต้นโพธิใบ.

พระชนนีของท่านผู้นี้
จักมีพระนามว่าพระนางมายา
พระชนกพระนามว่า พระเจ้าสุทโธทนะ
ท่านผู้นี้จักมีพระนามว่า โคดม.

คู่พระอัครสาวก ชื่อว่า พระโกลิตะและพระอุปติสสะ
เป็นผู้ไม่มีอาสวะ ปราศจากราคะ มีจิตสงบ ตั้งมั่น

พุทธอุปัฏฐาก ชื่อว่า อานันทะ จักบำรุงพระชินะเจ้าพระองค์นี้.
มีคู่พระอัครสาวิกา ชื่อว่าพระเขมาและพระอุบลวรรณา
เป็นผู้ไม่มีอาสวะ ปราศจากราคะ มีจิตสงบตั้งมั่น.

ต้นไม้เป็นที่ตรัสรู้ ของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น
เรียกกันว่า อัสสัตถะ ต้นโพธิใบ.

มีอัครอุปัฎฐากชื่อ จิตตะ และหัตถอาฬวกะ
มีอัครอุปัฏฐายิกา ชื่อ นันทมาตา และอุตตรา.
พระชนมายุของพระโคดมผู้มีพระยศพระองค์นั้นประมาณ ๑๐๐ ปี.
มนุษย์และเทวดาทั้งหลาย ฟังพระดำรัสของพระผู้ไม่มีผู้เสมอผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่นี้แล้ว
ก็ปราโมชปลาบปลื้มใจว่า ท่านผู้นี้เป็นหน่อเนื้อพุทธางกูร.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 309
หมื่นโลกธาตุพร้อมทั้งเทวดา ก็พากันโห่ร้องปรบมือ หัวร่อร่า
ประคองอัญชลีนมัสการกล่าวว่า
ฝ่ายพวกเราจักพลาดคำสั่งสอนของพระโลกนาถ
พระองค์นี้ ในอนาคตกาล พวกเราก็จักอยู่ต่อหน้าของท่านผู้นี้.
มนุษย์ทั้งหลาย เมื่อจะข้ามแม่น้ำ พลาดท่าน้ำ
เฉพาะหน้า ก็ไปถือเอาท่าน้ำท่าหลัง ข้ามแม่น้ำฉันใด
พวกเราทุกคน ผิว่า จะผ่านพ้นพระชินเจ้าพระองค์นี้ไป
ในอนาคตกาล พวกเราก็จักอยู่ต่อหน้าของท่านผู้นี้ ฉันนั้นเหมือนกัน.
เราสดับพระดำรัสของพระองค์แล้ว ก็ยังจิตให้เลื่อมใสยิ่งขึ้น เมื่อจะยังประโยชน์นั้นนั่นแลให้สำเร็จ
จึงได้ถวายราชสมบัติอันยิ่งใหญ่ แด่พระชินเจ้า
ครั้นถวายราชสมบัติอันยิ่งใหญ่แล้ว ก็บวชในสำนักของพระองค์.
เราเล่าเรียนพระสูตร พระวินัย และนวังคสัตถุศาสน์ทั้งหมด
ทำพระศาสนาของพระชินเจ้าให้งดงาม.
เราอยู่ในพระศาสนานั้น ไม่ประมาทในอิริยาบถนั่ง ยืน และ เดิน
ถึงฝั่งแห่งอภิญญาแล้ว ก็ไปสู่พรหมโลก.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 310

พระโกณฑัญญพุทธเจ้า
ผู้แสวงหาคุณยิ่งใหญ่ มีพระนคร ชื่อว่า รัมมวดี
พระชนกพระนามว่าพระเจ้า สุนันทะ
พระชนนีพระนามว่า พระนาง สุชาดา.
พระองค์ทรงครองฆราวาสวิสัยอยู่ หมื่นปี

ทรงมีปราสาทอย่างยอดเยี่ยม ๓ หลัง ชื่อว่า รุจิปราสาท สุรุจิปราสาท สุภปราสาท
มีพระสนมนารี สามแสนนาง
มีพระอัครมเหสี พระนามว่า รุจิเทวี
มีพระโอรสพระนามว่า วิชิตเสนะ.

ทรงเห็นนิมิตทั้ง ๔ เสด็จออกอภิเนษกรมณ์ด้วยยานคือ รถทรง
พระชินเจ้าทรงบำเพ็ญเพียรอยู่ ๑๐ เดือนเต็ม.

พระมหาวีระโกณฑัญญะ
ผู้เป็นยอดแห่งสัตว์สองเท้าผู้สงบ อันพรหมอาราธนาแล้ว
ทรงประกาศพระธรรมจักรแก่เทพดาทั้งหลาย ณ มหาวัน.
ทรงมีคู่อัครสาวก ชื่อ พระภัททะและพระสุภัททะ

พระโกณฑัญญพุทธเจ้า ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่
ทรงมีพระพุทธอุปัฏฐาก ชื่อว่า อนุรุทธะ.

พระโกณฑัญญพุทธเจ้า ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่
มีคู่อัครสาวิกา ชื่อพระติสสาและพระอุปติสสา.

พระโกณฑัญญูพุทธเจ้า ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่
มีต้นไม้เป็นที่ตรัสรู้ ชื่อ สาลกัลยาณี [ต้นขานาง]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 311
ทรงมีอัครอุปัฏฐาก ชื่อโสณะ และอุปโสณะ
มีอัครอุปัฏฐายิกา ชื่อ นันทา และสิริมา.
พระมหามุนีพระองค์นั้น ส่ง ๘๘ ศอก
ทรงสง่างามเหมือนดวงจันทร์ ประหนึ่งดวงอาทิตย์เที่ยงวัน.

ในยุคนั้น
ทรงมีพระชนมายุ แสนปี
พระองค์เมื่อทรงพระชนม์อยู่เพียงนั้น
ก็ทรงยังหมู่ชนเป็นอันมากให้ข้ามโอฆสงสาร.
แผ่นดินก็งดงามด้วยพระขีณาสพ
ผู้ไร้มลทินเหมือนท้องนภากาศงามด้วยหมู่ดาว พระองค์ก็งดงามเหมือนอย่างนั้น.

พระอรหันต์เหล่านั้น หาประมาณมิได้ ไม่หวั่นไหวด้วยโลกธรรม
ยากที่จะมีผู้เข้าไปหา พระผู้มียศใหญ่เหล่านั้น
แสดงอิทธิปาฏิหาริย์แล้วก็นิพพานเหมือนสายฟ้าแลบ.
พระวรฤทธิ์ของพระชินเจ้าไม่มีอะไรเทียบได้
พระสมาธิอันญาณอบรมแล้ว ทั้งนั้นก็อันตรธานไปสิ้น
สังขารทั้งปวงก็ว่างเปล่าโดยแน่แท้.

พระโกณฑัญญพุทธเจ้า ผู้ทรงพระสิริ
เสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน ณ พระวิหารนันทาราม
พระเจดีย์ของพระองค์ในพระวิหารนั้น สูง ๗ โยชน์.
จบวงศ์พระโกณฑัญญพุทธเจ้าที่ ๒
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 312
พรรณนาวงศ์พระโกณฑัญญพุทธเจ้าที่ ๒
ดังได้สดับมา
เมื่อพระผู้มีพระเจ้าทีปังกรเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานแล้ว
ศาสนาของพระองค์ดำรงอยู่ แสนปี.
เพราะอันตรธานแห่งพระสาวกทั้งหลายของพระพุทธะและอนุพุทธะ
แม้ศาสนาของพระองค์ก็อันตรธาน.

ต่อมาภายหลังศาสนาของพระองค์
ล่วงไปอสงไขยหนึ่ง
พระศาสดาพระนามว่า โกณฑัญญะ ก็อุบัติในกัปหนึ่ง.

พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น
ทรงบำเพ็ญบารมีมา สิบหกอสงไขย แสนกัป
อบรมบ่มพระญาณแก่กล้าแล้ว
ทรงดำรงอยู่ในอัตภาพเช่นเดียวกับอัตภาพเป็นพระเวสสันดร

จุติจากอัตภาพนั้นแล้ว บังเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต
ดำรงอยู่ในดุสิตนั้น จนตลอดพระชนมายุ
ประทานปฏิญาณแก่เทวดาทั้งหลาย
จุติจากดุสิต ถือปฏิสนธิในพระครรภ์ของพระนางสุชาดาเทวี
ในราชสกุลของพระเจ้าสุนันทะ กรุงรัมมวดี.

ในขณะที่พระองค์ทรงถือปฏิสนธิ
ก็บังเกิดพระปาฏิหาริย์ ๓๒ ประการดังกล่าวไว้ ในวงศ์ของ พระทีปังกรพุทธเจ้า.

พระองค์มีเหล่าเทวดาถวายอารักขา
ถ้วนทศมาสก็ประสูติจากพระครรภ์พระมารดา
ทรงเป็นยอดของสรรพสัตว์
บ่ายพระพักตร์ทางทิศอุดร เสด็จย่างพระบาทได้ ๗ ก้าว

ทรงแลดูทุกทิศ ทรงเปล่งอาสภิวาจาว่า
เราเป็นผู้เลิศแห่งโลก เราเป็นผู้เจริญที่สุดแห่งโลก
เราเป็นผู้ประเสริฐที่สุดแห่งโลก
ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย
ตั้งแต่บัดนี้ ไม่มีการเกิดอีก.

ต่อนั้น ในวันขนานพระนามของพระโพธิสัตว์นั้น
พระประยูรญาติทั้งหลาย ก็ขนานพระนามว่า โกณฑัญญะ
ความจริงพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ทรงมีพระโคตร เป็นโกณฑัญญโคตร.
เขาว่า พระองค์มีปราสาท ๓ หลังน่ารื่นรมย์อย่างยิ่ง
ชื่อว่า รามะปราสาท สุรามะปราสาท๑ สุภะปราสาท.
ทั้ง๓ หลังนั้น
๑. บาลีเป็น รุจิ สุรุจิ และสุภะปราสาท.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 313
มีสตรีฝ่ายนาฏกะ ผู้ชำนาญการฟ้อนรำ การขับร้องและการบรรเลงประจำอยู่ถึงสามแสนนาง.

พระองค์มีพระมเหสีพระนามว่า รุจิเทวี
มีพระโอรสพระนามว่า วิชิตเสนะ
ทรงครองฆราวาสวิสัยอยู่ หมื่นปี.
พระโพธิสัตว์นั้น ทรงเห็นคนแก่ คนเจ็บ คนตายและนักบวช
เสด็จออกอภิเนษกรมณ์ด้วย รถทรงเทียมม้า
ทรงผนวชแล้ว ทรงบำเพ็ญเพียรอยู่ ๑๐ เดือน

โกณฑัญญกุมาร กำลังผนวชอยู่ คนสิบโกฏิก็บวชตามเสด็จ
โกณฑัญญกุมารนั้น อันคนเหล่านั้นแวดล้อมแล้ว
ก็ทรงบำเพ็ญเพียรอยู่ ๑๐ เดือน ณ ดิถีเพ็ญเดือน วิสาขะ
เสวยข้าวมธุปายาสรสอร่อยอย่างยิ่ง ซึ่งธิดาเศรษฐีชื่อว่า ยโสธรา
ผู้มีเต้าถันอวบอิ่มเท่ากัน ณ บ้าน สุนันทคาม ถวายแล้ว
ทรงยับยั้งพักกลางวัน ณ ป่าต้นสาละ ที่ประดับด้วยผลใบอ่อนและหน่อ
เวลาเย็นทรงละหมู่แล้วทรงรับหญ้า ๘ กำ ที่ สุนันทะอาชีวก ถวาย มาแล้ว
ทรงทำประทักษิณ ต้นสาลกัลยาณี [ต้นขานาง] ๓ ครั้ง
ทรงสำรวจดูทิศบูรพา
ทรงทำต้นไม้ที่ตรัสรู้ไว้เบื้องพระปฤษฎางค์
ทรงปูลาดหญ้ากว้าง ๕๘ ศอก
ทรงนั่งขัดสมาธิ อธิษฐานความเพียรมีองค์ ๔
ทรงกำจัดกองกำลังของมาร ในราตรีปฐมยาม
ทรงชำระปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ในมัชฌิมยาม
ทรงชำระทิพยจักษุในปัจฉิมยาม
ทรงพิจารณาปัจจยาการ
ทรงออกจากจตุตถฌานที่มีอานาปานสติเป็นอารมณ์

ทรงหยั่งสำรวจในปัญจขันธ์
ก็ทรงเห็นลักษณะทั้งหลายด้วยปัญญาอันสม่ำเสมอ โดยอุทยัพพยญาณ
ทรงเจริญวิปัสสนาจนถึงโคตรภูญาณ

ทรงแทงตลอดมรรคญาณ ๔ ผลญาณ ๔ ปฏิสัมภิทา ๔ ญาณกำหนดกำเนิด ๔ ญาณ
กำหนดคติ ๕ อสาธารณญาณ ๖ และพระพุทธคุณทั้งสิ้น

ทรงมีความดำริบริบูรณ์แล้ว ประทับนั่ง ณ โคนไม้ที่ตรัสรู้
ทรงเปล่งอุทานอย่างนี้ว่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 314
เราแสวงหาตัณหานายช่างผู้สร้างเรือน
เมื่อไม่พบ จึงต้องท่องเที่ยวไปตลอดชาติสงสารเป็นอันมากชาติ
ความเกิดบ่อย ๆ เป็นทุกข์
ดูก่อนตัณหา นายช่างผู้สร้างเรือน
เราเห็นท่านแล้ว ท่านจักสร้างเรือนอีกไม่ได้
โครงสร้างเรือนของท่านเราหักหมดแล้ว
ยอดเรือนเราก็รื้อออกแล้ว
 จิตของเราถึงธรรมเป็นที่สิ้นตัณหาแล้ว.

คติแห่งไฟที่ลุกโพลง ที่ภาชนะสัมฤทธิ์ ที่นายช่างตี ด้วยพะเนินเหล็ก
กำจัดแล้วก็สงบเย็นลงโดยลำดับ ไม่มีใครรู้คติความไปของมันได้ ฉันใด.

คติของพระขีณาสพผู้หลุดพ้นโดยชอบ
ข้ามเครื่องผูกคือกามโอฆะ บรรลุสุขอันไม่หวั่นไหว
ก็ไม่มีใครจะรู้คติของท่านได้ ฉันนั้น. ๑

ทรงยับยั้งอยู่ด้วยสุขในผลสมาบัติ
ณ โคนโพธิพฤกษ์ ๗ สัปดาห์

ในสัปดาห์ที่ ๘ ทรงอาศัยการอาราธนาของพรหม
ทรงใคร่ครวญว่า เราจะแสดงธรรมครั้งแรกแก่ใครเล่าหนอ
ก็ได้ทรงเห็นภิกษุ ๑๐ โกฏิ ซึ่งบวชกับพระองค์ ว่า
กุลบุตรพวกนี้สะสมกุศลมูลไว้ จึงบวชตามเรา ซึ่งกำลังบวช บำเพ็ญเพียรกับเรา บำรุงเรา
เอาเถิด เราจะพึงแสดงธรรมแก่กุลบุตรพวกนี้ก่อนใครหมด

ครั้นทรงใคร่ครวญอย่างนี้แล้ว ก็ทรงตรวจดูว่า
ภิกษุเหล่านั้น บัดนี้อยู่ที่ไหน
ก็ทรงเห็นว่าอยู่กันที่เทวะวัน กรุงอรุนธวดีระยะทาง ๑๘ โยชน์แต่ที่นี้
จึงทรงอันตรธานจากโคนโพธิพฤกษ์
ไปปรากฏที่เทวะวันเหมือนบุรุษมีกำลังเหยียดแขนที่คู้ หรือคู้แขนที่เหยียดฉะนั้น.
๑. ขุ. อุ ๒๕/ข้อ ๑๗๘.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 315
สมัยนั้น ภิกษุสิบโกฏิ เหล่านั้น อาศัยกรุงอรุนธวดี อยู่ที่เทวะวัน.
ก็แลเห็นพระทศพลทรงพุทธดำเนินมาแต่ไกล
พากันมีใจผ่องใสรับเสด็จ
รับบาตรจีวรของพระผู้มีพระภาคเจ้า
ปูลาดพุทธอาสน์ ทำความเคารพ
ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า นั่งแวดล้อม ณ ที่สมควรส่วนหนึ่ง.

ณ ที่นั้นพระโกณฑัญญทศพล
อันหมู่มุนีแวดล้อมแล้ว ประทับนั่งเหนือพุทธอาสน์อันรุ่งโรจน์
ประดุจท้าวสหัสนัยน์อันหมู่เทพชั้นไตรทศแวดล้อม
ประดุจดวงรัชนีกรในฤดูสารทที่โคจร ณ พื้นนภากาศอันไร้มลทิน
ประดุจดวงจันทร์เพ็ญ อันหมู่ดาวแวดล้อม.

ครั้งนั้น
พระศาสดาตรัส พระธัมมจักกัปวัตตนสูตร
มีปริวัฏ ๓ อาการ ๑๒ อันยอดเยี่ยม
ซึ่งพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ทรงซ่องเสพแล้ว แก่ภิกษุเหล่านั้น
ทรงยังเทวดาและมนุษย์แสนโกฏิ
มีภิกษุสิบโกฏิ เป็นประธาน ให้ดื่มอมฤตธรรม.

ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
ภายหลัง สมัยพระทีปังกรพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าพระนามว่าโกณฑัญญะ ผู้นำโลก
ผู้มีพระเดชไม่มีที่สุดผู้มีบริวารยศกำหนดไม่ได้ มีพระคุณประมาณมิได้ยากที่ผู้ใดจะเข้าเฝ้า
มีพระขันติอุปมาดังแผ่นธรณี
มีพระศีลคุณอุปมาดังสาคร มีพระสมาธิอุปมาดังเขาเมรุมีพระญาณอุปมาดังท้องนภากาศ.
พระพุทธเจ้า ทรงประกาศอินทรีย์ พละ โพชฌงค์และมรรคสัจ
เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่สรรพสัตว์ทุกเมื่อ.

เมื่อพระโกณฑัญญพุทธเจ้า ผู้นำโลกทรงประกาศ
พระธรรมจักร อภิสมัยการตรัสรู้ธรรมครั้งแรกก็ได้มีแก่ เทวดาและมนุษย์ แสนโกฏิ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 316
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น
บทว่า ทีปงฺกรสฺส อปเรน ความว่า ในสมัยต่อจากสมัยของพระทีปังกรศาสดา.
บทว่า โลณฺฑญฺโญ นาม ได้แก่ เป็นพระนามาภิไธยที่ทรงได้รับ โดยพระโคตรของพระองค์.
บทว่า นายโก ได้แก่ เป็นผู้นำวิเศษ.

บทว่า อนนฺตเตโช ได้แก่ มีพระเดชไม่มีที่สุด
ด้วยเดชแห่งพระศีลคุณพระญาณและบุญ.
เบื้องต่ำแต่อเวจี
เบื้องบนถึงภวัคคพรหม
เบื้องขวาง โลกธาตุอันไม่มีที่สุด
ในระหว่างนี้ แม้บุคคลผู้หนึ่ง
ชื่อว่า เป็นผู้สามารถที่จะยืนมองพระพักตร์ของพระองค์ไม่มีเลย

ด้วยเหตุนั้นจึงตรัสว่า อนนฺตเตโช.
บทว่า อมิตยโส ได้แก่ มีบริวารยศไม่มีที่สุด.
จริงอยู่ แสนปีของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ตลอดจนถึงสมัยเสด็จดับขันธปรินิพพาน
ในระหว่างนี้ จำนวนภิกษุบริษัทกำหนดไม่ได้เลย.
เพราะฉะนั้นจึงตรัสว่า
อมิตยโส แม้ผู้มีเกียรติคุณที่กำหนดมิได้ ก็ตรัสว่า อมิตยโส.
บทว่า อปฺปเมยฺโย ได้แก่ ผู้ประมาณมิได้ โดยปริมาณหมู่แห่งคุณ
เหตุนั้นจึงชื่อว่า อปฺปเมยฺโย มีพระคุณหาประมาณมิได้

เหมือนอย่างที่ตรัสไว้ว่า
พุทฺโธปิ พุทฺธสฺส ภเณยฺย วณฺณํ
กปฺปมฺปิ เจ อญฺญมภาสมาโน
ขีเยถ กปฺโป จิรทีฆมนฺตเร
วณฺโณ น ขีเยถ ตถาคตสฺส.
ถ้าแม้ว่าพระพุทธเจ้า พึงตรัสสรรเสริญพระคุณของพระพุทธเจ้า
โดยไม่ตรัสเรื่องอื่นเลย แม้ตลอดทั้งกัป.
กัปที่มีในระหว่างกาลอันยาวนาน ก็จะพึงสิ้นไป
แต่การสรรเสริญพระคุณของพระตถาคต ยังหาสิ้นไปไม่.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 317
เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าท่านจึงเรียกว่าอัปปเมยยะ
เพราะทรงมีหมู่พระคุณประมาณมิได้.
บทว่า ทูราสโท ได้แก่ เป็นผู้อันใครๆ เข้าเฝ้าได้ยาก
อธิบายว่า ความเป็นผู้อันใครๆ ไม่อาจเบียดเสียดกันเข้าไปเฝ้า
ชื่อว่า ทุราสทะ คือ เป็นผู้อันใครๆ ไม่มีอำนาจเทียบเคียงได้.
บทว่า ธรณูปโม ได้แก่ ผู้เสมอด้วยแผ่นธรณี.
บทว่า ขมเนน ได้แก่ เพราะพระขันติ
พระพุทธเจ้าท่านเรียกว่า ผู้อุปมาด้วยแผ่นธรณ
เพราะไม่ทรงหวั่นไหวด้วยอิฐารมณ์และอนิฐารมณ์ มีลาภและไม่มีลาภเป็นต้น
เหมือนมหาปฐพีอันหนาถึงสองแสนสี่หมื่นโยชน์ ไม่ไหวด้วยลมปกติฉะนั้น.
บทว่า สีเลน สาครูปโม ได้แก่ ทรงเสมอด้วยสาคร
เพราะไม่ทรงละเมิดขอบเขตด้วยศีลสังวร
จริงดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
มหาสมุทร ตั้งอยู่เป็นปกติ ไม่ล่วงขอบเขต ดังนี้.
บทว่า สมาธินา เมรูปโม ได้แก่ ทรงเป็นผู้เสมอคือเสมือนด้วยขุนเขาเมรุ
เพราะไม่มีความหวั่นไหวอันจะเกิดแต่ธรรมที่เป็นข้าศึกต่อสมาธิ
หรือว่ามีพระสรีระมั่นคง เหมือนขุนเขาเมรุ.
ในบทว่า ญาเณน คคนูปโม นี้ ท่านทำอุปมาด้วยอากาศที่ไม่มีที่สุด
เพราะพระญาณของพระผู้มีพระภาคเจ้าไม่มีที่สุด

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส อนันตะ ไม่มีที่สุดไว้ ๔ อย่าง
เหมือนอย่างที่ตรัสไว้ว่า
สตฺตกาโย จ อากาโส จกฺกวาฬา จนนฺตกา
พุทฺธญาณํ อปฺปเมยฺยํ น สกฺกา เอเต วิชานิตุํ.
หมู่สัตว์ ๑
อากาศ ๑
จักรวาล ไม่มีที่สุด ๑
พระพุทธญาณ หาประมาณมิได้ ๑
ทั้ง ๔ นี้อันใคร ๆไม่อาจรู้ได้.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 318
เพราะฉะนั้น จึงทรงทำอุปมาญาณอันไม่มีที่สุด ด้วยอากาศที่ไม่มีที่สุดแล.
บทว่า อินฺทฺริยพลโพชฺฌงฺคมคฺคสจฺจปฺปกาสนํ ความว่า
แม้สติปัฏฐาน สัมมัปปธาน แสะอิทธิบาท ก็เป็นอันทรงถือเอาด้วย
ด้วยการถือเอา อินทรีย์ พละ โพชฌงค์และมรรคสัจเหล่านี้
เพราะฉะนั้น จึงทรงประกาศแสดงธรรมเป็นเครื่องประกาศ
โพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการ โดยสังเขป ๔ มีอินทรีย์เป็นต้น.
บทว่า หิตาย แปลว่า เพื่อประโยชน์เกื้อกูล.
บทว่า ธมฺมจกฺกํ ปวตฺเตนฺเต ได้แก่ เมื่อทรงให้เทศนาญาณเป็นไปอยู่.

ต่อจากนั้น ในมหามงคลสมาคม
เทวดาในหมื่นจักรวาล เนรมิตอัตภาพอันละเอียด
ประชุมกันในจักรวาลนี้นี่แล.

เล่ากันว่า ในมหามงคลสมาคมนั้น
เทพบุตรองค์หนึ่ง ทูลถามมงคลปัญหา กะพระโกณฑัญญทศพล
พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสมงคลทั้งหลายโปรดเทพบุตรองค์นั้น.

ในมหามงคลสมาคมนั้น
เทวดาเก้าหมื่นโกฏิบรรลุพระอรหัต.
จำนวนพระอริยบุคคลมีพระโสดาบัน เป็นต้นกำหนดไม่ได้เลย
ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงธรรมนอกไปจากนั้น
โปรดมนุษย์และเทวดาทั้งหลายในสมาคม
อภิสมัยการตรัสรู้ธรรมครั้งที่ ๒ ก็ได้มีแก่ เทวดาเก้าหมื่นโกฏิ.
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น
บทว่า ตโต ปรมฺปิ ได้แก่ แม้ในส่วนอื่นอีก จากนั้น.
บทว่า เทเสนฺเต ได้แก่ เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงธรรม.
บทว่า นรมรูนํ ได้แก่ แก่มนุษย์และเทวดาทั้งหลาย. ครั้งใด
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 319
พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงทำยมกปาฏิหาริย์ ย่ำยีมานะของเดียรถีย์
ทรงแสดงธรรม ณ ภาคพื้นนภากาศ
ครั้งนั้น มนุษย์และเทวดาแปดหมื่นโกฏิ บรรลุพระอรหัต
ผู้ที่ตั้งอยู่ในผล ๓ เกินที่จะนับได้
ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
ครั้งใด พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อทรงย่ำยีพวก
เดียรถีย์ จึงทรงแสดงธรรมโปรด ครั้งนั้น อภิสมัย
การตรัสรู้ธรรมครั้งที่ ๓ จึงได้มีแก่ สัตว์แปดหมื่นโกฏิ.
แก้อรรถ
พึงนำ ตทา ศัพท์ มาจึงจะเห็นความในคาถานั้นว่า
ครั้งใด พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงธรรม
ครั้งนั้น ธรรมาภิสมัยจึงได้มีแก่สัตว์แปดหมื่นโกฏิ.
ได้ยินว่า
พระโกณฑัญญศาสดา
ตรัสรู้พระอภิสัมโพธิญาณแล้ว พรรษาแรก
ทรงอาศัย กรุงจันทวดี ประทับอยู่ ณ พระวิหาร จันทาราม

ในที่นั้น ภัททมาณพ บุตรของพราหมณ์มหาศาล ชื่อ สุจินธระ และ
สุภัททมาณพ บุตรของ ยโสธรพราหมณ์
 
ฟังพระธรรมเทศนาเฉพาะพระพักตร์ของพระโกณฑัญญพุทธเจ้า
มีใจเลื่อมใส ก็บวชในสำนักของพระองค์ พร้อมกับมาณพหมื่นหนึ่งแล้วบรรลุพระอรหัต.

ครั้งนั้น พระโกณฑัญญศาสดา
อันภิกษุแสนโกฏิมีพระสุภัททเถระ
เป็นประธานแวดล้อมแล้ว
ทรงยกปาติโมกข์ขึ้นแสดง ณ เพ็ญเดือนเชษฐะ(เดือน ๗) นั้นเป็นการประชุมครั้งที่ ๑.
ต่อจากนั้น เมื่อพระโอรสของพระโกณฑัญญศาสดา พระนามว่า วิชิตเสนะ
ทรงบรรลุพระอรหัต พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงยกปาติโมกข์ขึ้นแสดง ณ ท่ามกลางภิกษุพันโกฏิ
มีพระวิชิตเสนะนั้นเป็นประธาน นั้นเป็นการประชุมครั้งที่ ๒.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 320
สมัยต่อมา พระทศพลเสด็จจาริก ณ ชนบท
ทรงยัง พระเจ้าอุเทน ซึ่งมีชนเก้าสิบโกฏิเป็นบริวารให้ทรงผนวชพร้อมด้วยบริษัท
เมื่อพระเจ้าอุเทนนั้น ทรงบรรลุพระอรหัตแล้ว
พระผู้มีพระภาคเจ้า อันพระอรหันต์เก้าสิบโกฏิ
มีพระเจ้าอุเทนนั้นเป็นประธานแวดล้อมแล้ว
ทรงยกปาติโมกข์ขึ้นแสดง นั้นเป็นการประชุมครั้งที่ ๓
ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
พระโกณฑัญญพุทธเจ้า ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่
ทรงมีการประชุมภิกษุ ผู้เป็นพระขีณาสพ ไร้มลทินผู้มีจิตสงบผู้คงที่ ๓ ครั้ง
ครั้งที่ ๑ ประชุมภิกษุแสนโกฏิ
ครั้งที่ ๒ ประชุมภิกษุพันโกฏิ
ครั้งที่ ๓ ประชุมภิกษุเก้าสิบโกฏิ.

ได้ยินว่า
ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์ของเรา เป็นพระเจ้าจักรพรรดิพระนามว่า วิชิตาวี
ประทับอยู่ ณ กรุงจันทวดี
เล่ากันว่า พระองค์อันคนชั้นดี เป็นอันมากแวดล้อมแล้ว
ทรงปกครองแผ่นดิน อันเป็นที่อยู่แห่งน้ำและขุมทรัพย์
พร้อมทั้งขุนเขาสุเมรุและยุคันธร
ทรงไว้ซึ่งรัตนะหาประมาณมิได้โดยธรรม ไม่ใช้อาชญา ไม่ใช้ศัสตรา

ครั้งนั้น พระโกณฑัญญพุทธเจ้า
อันพระขีณาสพแสนโกฏิแวดล้อมแล้ว เสด็จจาริก ณ ชนบท เสด็จถึงกรุงจันทวดีโดยลำดับ.

เล่ากันว่า
พระเจ้าวิชิตาวี ทรงสดับข่าวว่า
เขาว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จถึงนครของเราแล้ว จึงออกไปรับเสด็จ
จัดแจงสถานที่ประทับของพระผู้มีพระภาคเจ้า
นิมนต์เพื่อเสวยภัตตาหาร ณ วันรุ่งขึ้นพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์.

วันรุ่งขึ้น ก็ทรงให้เขาจัดภัตตาหารเป็นอย่างดีแล้ว
ได้ถวายมหาทานแก่ภิกษุสงฆ์นับได้แสนโกฏิ มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 321
พระโพธิสัตว์ ทรงให้พระผู้มีพระภาคเจ้าเสวยแล้ว
จบอนุโมทนา ทรงทูลขอว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระองค์เมื่อจะทรงทำการสงเคราะห์มหาชน
ขอโปรดประทับอยู่ในนครนี้นี่แหละตลอดไตรมาส
ได้ทรงถวายอสทิสทานแก่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน เป็นนิตย์ ตลอดไตรมาส.

ครั้งนั้น พระศาสดาทรงพยากรณ์พระโพธิสัตว์ ว่า
จักเป็นพระพุทธเจ้าพระนามว่า โคตมะ ในอนาคตกาล
แล้วทรงแสดงธรรมแก่พระองค์ท้าวเธอทรงสดับธรรมกถาของพระศาสดาแล้ว
ทรงมอบราชสมบัติ ออกทรงผนวช ทรงเล่าเรียนพระไตรปิฎก
ทำสมาบัติ ๘ และอภิญญา ๕ ให้เกิดแล้ว มีฌานไม่เสื่อม
ก็บังเกิดในพรหมโลก
ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
สมัยนั้น เราเป็นกษัตริย์นามว่าวิชิตาวี เป็นใหญ่เหนือปฐพี มีสมุทรสาครเป็นที่สุด.
เรายังพระขีณาสพ ผู้ไร้มลทิน ผู้แสวงคุณอันยิ่งใหญ่แสนโกฏิ
พร้อมด้วยพระผู้ทรงเป็นนาถะเลิศแห่งโลก ให้อิ่มหนำด้วยข้าวนำอันประณีต.

พระโกณฑัญญพุทธเจ้า ผู้นำโลก
แม้พระองค์นั้น ก็ทรงพยากรณ์เราว่า
จักเป็นพระพุทธเจ้าผู้มีคุณที่ประมาณมิได้ในโลก ในกัปต่อจากกัปนี้.

พระตถาคต จักออกทรงผนวช จากกรุงกบิลพัสดุ์อันรื่นรมย์
ทรงกระทำความเพียร คือ กระทำทุกกรกิริยา.
พระตถาคต จักประทับนั่งที่โคนต้นอชปาลนิโครธ รับมธุปายาส ณ ที่นั้น
แล้วเสด็จไปสู่ฝั่งแห่งแม่น้ำเนรัญชรา.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 322
พระชินเจ้า พระองค์นั้น ครั้นเสวยมธุปายาสที่ฝั่งเนรัญชรานั้นแล้ว
ก็เสด็จไปที่ควงโพธิพฤกษ์ตามเส้นทางที่มีผู้จัดแจงไว้.

ลำดับนั้น
พระองค์ผู้ทรงพระยศใหญ่ ทรงทำประทักษิณโพธิมณฑ์อันประเสริฐสุด
จักตรัสรู้ (พระสัมมาสัมโพธิญาณ) ณ ควงไม้อัสสัตถพฤกษ์.

ท่านผู้นี้ จักมีพระชนนีพุทธมารดา พระนามว่า มายา
มีพระชนกพุทธบิดา พระนามว่า สุทโธทนะ
ท่านผู้นี้จักมีพระนามว่า โคตมะ
จักมีอัครสาวก ชื่อว่า โกลิตะและอุปติสสะ
ผู้ไม่มีอาสวะ ผู้ปราศจากราคะ ผู้มีจิตสงบและมั่นคง
จักมีพุทธอุปัฏฐากชื่อ อานันทะ บำรุงพระชินะนั้น.
จักมีอัครสาวิกา ชื่อว่าเขมา และอุบลวรรณา
ผู้ไม่มีอาสวะ ผู้ปราศจากราคะ ผู้มีจิตสงบและมั่นคง.
ต้นไม้ที่ตรัสรู้ของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นเรียกว่า อัสสัตถะ ต้นโพธิใบ.
จักมีอัครอุปัฏจาก ชื่อว่าจิตตะ และหัตถะและอาฬวกะ
จักมีอัครอุปัฏฐายิกา ชื่อว่า นันทมาตา และอุตตรา
พระชนมายุของพระโคตมะผู้มียศพระองค์นั้น ประมาณ ๑๐๐ ปี.

มนุษย์และเทวดาทั้งหลายฟังพระดำรัสของพระผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่
ไม่มีผู้เสมอนี้แล้ว ก็พากันปลื้มใจว่า ผู้นี้เป็นหน่อพุทธางกูร.

เทวดาในหมื่นโลกธาตุ พากันโห่ร้องปรบมือ
หัวร่อร่าเริง ประคองอัญชลีนมัสการ กล่าวว่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 323
ผิว่า พวกเราพลาดคำสอน ของพระโลกนาถพระองค์นี้ไซร้
ในอนาคตกาล พวกเราก็จักอยู่ต่อหน้าท่านผู้นี้.

มนุษย์ทั้งหลาย เมื่อจะข้ามแม่น้ำ พลาดท่าน้ำ
ตรงหน้า ก็ถือท่าน้ำข้างหลังข้ามแม่น้ำใหญ่ ฉันใด.
พวกเราทุกคน ผิว่า พ้นพระชินเจ้าพระองค์นี้ไป
ในอนาคตกาล ก็จักอยู่ต่อหน้าท่านผู้นี้ ฉันนั้น.

เราได้ฟังพระดำรัสของพระองค์แล้ว ก็ยังจิตให้เลื่อมใสยิ่งๆ ขึ้นไป
เมื่อจะให้สำเร็จประโยชน์นั้น นั่นแล จึงถวายมหาราชสมบัติแด่พระชินเจ้า
ครั้นถวายมหาราชสมบัติแล้ว ก็บวชในสำนักของพระองค์.

เราเล่าเรียนพระสูตร พระวินัย นวังคสัตถุศาสน์ทุกอย่าง
ยังศาสนาของพระชินเจ้าให้งดงาม.
เราอยู่อย่างไม่ประมาท ในพระศาสนานั้น
ในอิริยาบถนั่งนอนและเดิน ก็ถึงฝั่งแห่งอภิญญาเข้าถึงพรหมโลก.
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น
บทว่า อหํ เตน สมเยน ได้แก่ เราในสมัยนั้น.
บทว่า วิชิตาวี นาม ได้แก่ ได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ มีพระนามอย่างนี้.
ในบทว่า สมุทฺทํ อนฺตมนฺเตน นี้ ความว่า เราเป็นใหญ่ ตลอด
ปฐพีที่ตั้งจักรวาลบรรพต ทำจักรวาลบรรพตเป็นเขตแดน ทำสมุทรสาครเป็นที่สุด
ความเป็นใหญ่มิใช่ปรากฏด้วยเหตุมีประมาณเพียงเท่านี้.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 324
เล่ากันว่า
ด้วยอานุภาพแห่งจักรรัตนะ พระเจ้าจักรพรรดิ เสด็จไปยังบุพวิเทหทวีป
ซึ่งมีขนาดแปดพันโยชน์ ทางส่วนบนสมุทร มีเขาสิเนรุอยู่เบื้องซ้าย

ในที่นั้น พระเจ้าจักรพรรดิ จะประทานโอวาทว่า
ไม่ควรฆ่าสัตว์มีชีวิต
ไม่ควรถือเอาทรัพย์ที่เจ้าของมิได้ให้.
ไม่ควรประพฤติผิดในกามทั้งหลาย
ไม่ควรพูดเท็จ
ไม่ควรดื่มน้ำเมา
จงบริโภคของตามบริโภคได้.

เมื่อประทานโอวาทอย่างนี้แล้ว
จักรรัตนะนั้นก็เหาะสู่อากาศหยั่งลงสมุทรด้านทิศบูรพา
หยั่งโดยประการใดๆ คลื่นที่หดตัว ก็แตกกระจาย
เมื่อเดินลงก็เดินลงสู่น้ำในมหาสมุทร ชั่วโยชน์เดียว
ตั้งอยู่น่าดูอย่างยิ่ง เหมือนฝาแก้วไพฑูรย์แก้วมณี
ทั้งสองข้างภายในสมุทร โดยประการนั้น ๆ
จักรรัตนะนั้นไปตลอดที่มีสาครด้านทิศบูรพาเป็นที่สุดอย่างนั้น ก็หมุนกลับ
เมื่อจักรรัตนะนั้นหมุนกลับ บริษัทนั้นก็อยู่ทางปลาย พระเจ้าจักรพรรดิอยู่ตรงกลาง
ตัวจักรรัตนะอยู่ท้าย จักรรัตนะแม้นั้น กระทบน้ำ มีมณฑลดื่มเป็นที่สุดเท่านั้น
เหมือนไม่ยอมพรากชายน้ำ จึงเข้าสู่ริมฝั่ง.

พระเจ้าจักรพรรดิ
ทรงชนะบุพวิเทหทวีป ซึ่งมีสมุทรด้านทิศบูรพา เป็นที่สุดอย่างนี้แล้ว
มีพระราชประสงค์จะทรงชนะชมพูทวีป ซึ่งมีสมุทรด้านทิศทักษิณเป็นที่สุด
จึงมุ่งพระพักตร์ไปทางทิศทักษิณ เสด็จไปตามทางที่จักรรัตนะแสดง จักรรัตนะนั้น

ครั้นชนะชมพูทวีป ซึ่งมีขนาดหมื่นโยชน์แล้ว ก็ขึ้นจากสมุทรด้านทิศทักษิณ
ก็ไปโดยนัยที่กล่าวแล้วแต่หนหลัง เพื่อชนะอปรโคยานทวีป ซึ่งมีขนาดเจ็ดพันโยชน์

ครั้นชนะอปรโคยานทวีปนั้น
ซึ่งมีสาครเป็นที่สุดแล้ว ก็ขึ้นจากสมุทรด้านทิศปัจฉิมไปอย่างนั้นเหมือนกัน
เพื่อชนะอุตตรกุรุทวีป ซึ่งมีขนาดแปดพันโยชน์ ก็ชนะอย่างนั้นเหมือนกัน

ทำอุตตรกุรุทวีปนั้น มีสมุทรเป็นที่สุด ก็ขึ้นแม้จากสมุทรด้านทิศอุดร.
ความเป็นใหญ่ เป็นอันพระเจ้าจักรพรรดิทรงประสบแล้วเหนือปฐพี
ที่มีสาครเป็นที่สุด ด้วยเหตุมีประมาณเพียงเท่านี้
ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
เราเป็นใหญ่เหนือปฐพีมีสมุทรเป็นที่สุด.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 325
บทว่า โกฏิสตสหสฺสานํ ได้แก่ แสนโกฏิ. หรือปาฐะก็อย่างนี้เหมือนกัน.
บทว่า วิมลานํ ได้แก่ พระขีณาสพทั้งหลาย.
บทว่า สหโลกคฺคนาเถน ความว่า แสนโกฏิกับด้วยพระทศพล.
บทว่า ปรมนฺเนน แปลว่า ด้วยข้าวอันประณีต.
บทว่า ตปฺปหึ แปลว่า ให้อิ่มแล้ว.
บทว่า อปริเมยฺยิโต กปฺเป ความว่า
ล่วงไปสามอสงไขยกำไรแสนกัปนับตั้งแต่กัปนี้ คือ ในภัทรกัปนี้.
บทว่า ปธานํ แปลว่า ความเพียร.
บทว่า ตเมว อตฺถํ สาเธนฺโต ความว่า
บำเพ็ญประโยชน์คือทานบารมีอันทำความเป็นพระพุทธเจ้านั้นนั่นแล ให้สำเร็จ ให้เป็นผล.
บทว่า มหารชฺชํ ได้แก่ ความเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ.
บทว่า ชิเน ได้แก่ ในพระผู้มีพระภาคเจ้า หรือพึงเห็นสัตตมีวิภัตติลงในอรรถจตุตถีวิภัตติ.
บทว่า อทํ แปลว่า ได้ให้แล้ว.
พึงเห็นการเชื่อมความด้วยบทนี้ว่า เอวมตฺถํ สาเธนฺโต
อาจารย์บางพวกสวดว่า
มหารชฺชํ ชิเน ททึ ดังนี้ก็มี.
บทว่า ททิตฺวาน ได้แก่ สละ.
บทว่า สุตฺตนฺตํ ได้แก่ สุตันตปิฎก.
บทว่า วินยํ ได้แก่ วินัยปิฎก.
บทว่า นวฺงคํ ได้แก่ นวังสัตถุศาสน์มีสุตตะ เคยยะเป็นต้น.
 บทว่า โสภยึ ชินสาสนํ ได้แก่ ประดับพร้อมด้วยอาคมและอธิคมอันเป็นโลกิยะ.
บทว่า ตตฺถ ได้แก่ ในพระศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น .
บทว่า อปฺปมตฺโต ได้แก่ ถึงพร้อมด้วยสติ.
บทว่า พฺรหฺมโลกมคญฺฉหํ ตัดบทเป็น พฺรหฺมโลกํอคญฺฉึ อหํ.

พระโกณฑัญญพุทธเจ้า พระองค์นี้
มีพระนครชื่อว่า รัมมวดี
พระชนกทรงพระนามว่า พระเจ้าสุนันทะ
พระชนนีพระนามว่า พระนางสุชาดาเทวี.
คู่พระอัครสาวกคือ พระภัททะ และ พระสุภัททะ
พระอุปัฏฐากชื่อว่า อนุรุทธะ
คู่พระอัครสาวิกา คือ พระติสสา และ พระสุอุปติสสา
ต้นไม้ที่ตรัสรู้ คือต้น สาลกัลยาณี [ขานาง]
พระสรีระสูง ๘๘ ศอก
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 326
พระชนมายุประมาณแสนปี
พระองค์มีพระมเหสีพระนามว่า รุจิเทวี
มีพระโอรสพระนามว่า วิชิตเสนะ
มีอุปัฏฐาก พระนามว่า เจ้าจันทะ
ประทับอยู่ ณ พระวิหารจันทารามแล

ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
พระโกณฑัญญพุทธเจ้า ผู้ทรงแสวงคุณยิ่งใหญ่
มีพระนครชื่อว่า รัมมวดี
มีพระชนกพระนามว่า พระเจ้าสุนันทะ
มีพระชนนีพระนามว่า พระนางสุชาดา.

พระโกณฑัญญพุทธเจ้า ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่
มีคู่พระอัครสาวก ชื่อว่า พระภัททะ และ พระสุภัททะ
พุทธอุปัฏฐาก ชื่อว่าพระอนุรุทธะ.

พระโกณฑัญญพุทธเจ้า ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่
มีคู่พระอัครสาวิกา ชื่อว่าพระติสสา และ พระอุปติสสา
มีตัดต้นไม้ที่ตรัสรู้ ชื่อว่าต้นสาลกัลยาณี.

พระมหามุนีพระองค์นั้น สูง ๘๘ ศอก สง่างาม
เหมือนดวงจันทร์ เหมือนดวงอาทิตย์เที่ยงวัน ฉะนั้น.
ในยุคนั้น ทรงมีพระชนมายุแสนปี

พระองค์มีพระชนม์ยืนถึงเพียงนั้น ก็ยังหมู่ชนเป็นอันมากให้ข้ามโอฆสงสาร.
แผ่นเมทนี งดงาม ด้วยพระขีณาสพทั้งหลายผู้ไร้มลทิน
ก็เหมือนท้องนภากาศ งดงามด้วยเหล่าดวงดาวทั้งหลาย
พระโกณฑัญญพุทธเจ้าพระองค์นั้น ก็ทรงงดงามอย่างนั้น.

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 327
พระขีณาสพแม้เหล่านั้น หาประมาณมิได้ อันโลกธรรมให้ไหวมิได้
ยากที่สัตว์จะเข้าไปหา พระผู้มียศใหญ่เหล่านั้น
แสดงตัวเหมือนสายฟ้าแลบแล้ว ต่างก็ดับขันธ์ปรินิพพาน.
พระวรฤทธิ์ของพระชินเจ้า ที่ไม่มีผู้เทียบได้นั้น
และพระสมาธิที่พระญาณอบรมแล้ว ทั้งนั้นก็อันตรธานไปหมดสั้น
สังขารทุกอย่างก็ว่างเปล่าโดยแน่แท้.

แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น
บทว่า สาลกลฺยาณิโก ได้แก่ ต้นสาลกัลยาณี ต้นสาลกัลยาณีนั้น เกิดในสมัยมีพระพุทธเจ้า
และสมัยมีพระเจ้าจักรพรรดิเท่านั้น ไม่เกิดในสมัยอื่น.

เล่ากันว่า
ต้นสาลกัลยาณีนั้น ผุดขึ้นวันเดียวเท่านั้น.
บทว่า ขีณาสเวหิ วิมเลหิ วิจิตฺตา อาสิ เมทนี ความว่า
แผ่นเมทนีนี้รุ่งเรืองด้วยผ้ากาสาวะ งดงามด้วยพระขีณาสพทั้งหลาย น่าดูอย่างยิ่ง
ศัพท์ว่า ยถา หิ เป็นนิบาตลงในอรรถอุปมา.
บทว่า อุฬูภิ แปลว่า ด้วยดวงดาวทั้งหลาย อธิบายว่า แผ่นเมทนีนี้ งดงามด้วยพระขีณาสพทั้งหลาย
ชื่อว่า สง่างามเหมือนท้องนภากาศงดงามด้วยหมู่ดาวทั้งหลาย.
บทว่า อสุงฺโขพฺภา ได้แก่ ไม่กำเริบ ไม่วิกาด้วยโลกธรรม ๘ ประการ.
บทว่า วิชฺชุปาตํว ทสฺเสตฺวา แปลว่า แสดงตัวเหมือนสายฟ้าแลบ.
ปาฐะว่า วิชฺชุปฺปาตํ ว ดังนี้ก็มี.
ความจริง ครั้งพระโกณฑัญญพุทธเจ้า
ภิกษุทั้งหลาย เมื่อปรินิพพานก็โลดขึ้นสู่อากาศชั่ว ๗ ต้นตาล รุ่งโรจน์
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 328
ไปรอบๆ เหมือนสายฟ้าแลบลอดหลืบเมฆ สีน้ำเงินแก่
เข้าเตโชธาตุแล้วก็ปรินิพพาน เหมือนไฟหมดเธอ
ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
แสดงตัวเหมือนสายฟ้าแลบ.
บทว่า อตุลิยา แปลว่า ชั่งไม่ได้ ไม่มีผู้เสมือน.
บทว่า ญาณปริภาวิโต แปลว่า อันญาณให้เจริญแล้ว
คาถาที่เหลือ ง่ายทั้งนั้นเพราะมีนัยที่กล่าวมาแต่หนหลังแล.

พระโกณฑัญญสัมพุทธเจ้า
เสด็จดับขันธปรินิพพาน ณ พระวิหารจันทาราม ที่น่ารื่นรมย์
เขาสร้างพระเจดีย์สำหรับพระองค์ เจ็ดโยชน์.
พระธาตุทั้งหลาย ของพระศาสดาพระองค์นั้นไม่กระจัดกระจาย
คงดำรงอยู่เป็นแท่งเดียว เหมือนรูปปฏิมาทอง.

มนุษย์ชาวชมพูทวีปทั้งสิ้น ช่วยกันเอาหินอ่อนสีเหลือง ก่อแทนดิน
ใช้น้ำมันและเนยแทนน้ำสร้างจนแล้วเสร็จแล.
จบ พรรณนาวงศ์พระโกณฑัญญพุทธเจ้า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 329



 

Sitemap 1 2 3 4 5 6 7 8 9